ย้อนกลับไปเมื่อปี
ค.ศ.2009 เด็กชายธรรมดาคนหนึ่งชื่อ ภาคิณ ได้เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3จาก รร.เล็กๆแห่งหนึ่งในชนบทของจังหวัดนครสวรรค์ และ รร.แห่งนี้มีแค่ระดับมัธยมศึกษาปีที่3 เท่านั้น
ไม่มีระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเหมือน รร.ใหญ่ในตัวอำเภอและอยู่ห่างไกลออกไปจาก
รร.เดิมของผมอย่างมาก ทำให้ผมต้องทำใจและครุ่นคิดอยู่นานว่าแต่ละ
รร.ที่ผมจะไปเพื่อศึกษาต่อ ม.ปลายต่อให้จบหลักสูตรในระบบนั้นช่างห่างไกลเหลือเกิน รร.ดังกล่าวนั้น
ห่างจากที่ผมอยู่ 35 กิโลเมตร ไปกลับก็ 70 กิโลเมตรแล้ว
และต้องเดินทางไปไกลๆทุกวันจึงลำบากมากสำหรับคนไม่มีรถอย่างผม
และแล้วผมจึงตัดสินใจไปปรึกษาเรื่องนี้กับครูใหญ่ใน รร.ที่ผมจบ และ ครูใหญ่จึงตัดสินใจขับรถส่วนตัว
พาผมไปสมัครเรียนต่อ ม.ปลายที่โรงเรียนในตัวอำเภออันห่างไกลดังกล่าว
และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจกับความคิดตัวเองมากของผมที่จะกำหนดอนาคตด้วยตัวเองเสียที
โดยไม่ต้องมีใครมาขีดเส้นกำหนดชีวิตให้กับผม และนั่นคืออิสระอย่างแท้จริงแต่ก่อนจะได้อิสระนั้นมาผมได้สมัครเรียนไปเป็นที่เรียบร้อยกับ
รร.ใหม่นี้ ได้พบกับเพื่อนใหม่มากขึ้นกว่า รร.เดิม มากและรู้สึกว่าตัวเองแปลกที่แปลกทาง
และแต่ละวันผมต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า เพราะค่าอาหารกลางวัน
และค่าอื่นจิปาถะที่ทาง รร.
เรียกเก็บ และผมไม่มีเงินจะให้และไม่มีเงินทานข้าวกลางวัน
เพราะผมไม่สะดวกห่อข้าวมาทานที่ รร.ใหม่แห่งนี้นั่นทำให้ผมเกิดความเครียดและความทุกข์เป็นอย่างมากสำหรับเด็กอายุเพียง
16 ปี และรู้สึกสงสารพ่อแม่เป็นอย่างมาก
ที่ท่านต้องส่งเงินมาให้ผมใช้แต่ละเดือน พ่อและแม่ของผมท่านทำงานในกรุงเทพเป็นอาชีพกรรมกรก่อสร้าง
เพราะท่านทั้งสองเรียนจบไม่สูงและต้องทำงานตามฐานะทางการศึกษานั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมคิดมากขึ้นไปอีก
เพราะเงินเพียงแค่ท่านได้รับจากงานก็ไม่เพียงพอกับค่าครองชีพแล้ว
แต่ยังเอาเงินมาให้ผมใช้อีก ณ ตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมมีปัญหาเป็นอย่างมาก
และกังวลกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต
นั่นคือผมเครียดจนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง เวลาสอบก็ไม่เข้าใจเพราะตอนนั้นผมไม่ได้คิดเรื่องเรียนแล้ว เพราะการเรียน ม.ปลายตอนนั้นทำให้ผมมีความทุกข์มากกว่าความสุขที่คิดว่าจะได้รับ
และนั่งเหม่อลอยคิดถึงพ่อกับแม่ทุกวัน และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ผมนั่งร้องไห้ออกมาบ่อยครั้งว่าทำไมชีวิตของเรามันช่างรันทดจริงๆ จะไปหาพึ่งพาใครก็ไม่ได้เพราะผมถูกปล่อยให้อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็กและต้องทำอาชีพรับจ้างตามท้องไร่
เพื่อนำเงินมายังชีพไปวันๆ และนั่นจะพออะไร เมื่อคิดมากเข้าทุกวัน พาลทำให้ไม่อยากไปเรียนอีกแล้ว นั่นทำให้ผมเริ่มเก็บตัวอยู่ในบ้านนั่งคิดใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆที่ผ่านมาว่าเราทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไปเพื่อใครกัน เพื่อความฝันของตนเอง หรือจำเป็นต้องให้มีใครมาขีดเส้นกำหนดให้กับผม ความคิดอย่างมากมายในหัว และนั่นทำให้ผมมีความกล้ามากยิ่งขึ้นว่าจะต้องทำตามความฝันของตนเองให้ได้
แม้ว่าตอนนั้นยังไม่รู้ความฝันของผมนั้นจริงๆแล้วคืออะไรกันแน่
แต่เมื่อผมตัดสินใจแล้ว ยังไงซะชีวิตมันต้องมีหนทางต่อไปจนได้
ผมจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่และจึงตัดสินใจลาออกจาก รร. ดังกล่าว
และนั่นทำให้ใจของผมทะยานออกไปอย่างอิสระเสรีเปรียบเสมือนเหมือนนกที่ถูกขังไว้ในกรงมาเนิ่นนานจนเพิ่งจะมารู้ว่าอิสระในโลกภายนอกนั้นมันสวยงามยังไง
และเมื่อผมลาออกมาแล้ว สิ่งแรกที่ผมคิดถึงคือพ่อกับแม่ซึ่งท่านอยู่กรุงเทพฯ ต้องเดินทางไปให้ได้เลย แต่นั่นคือปัญหาว่าผมในตอนนี้คือไม่มีเงินสักบาทเลยผมจะเดินทางไปหาท่านทั้งสองได้อย่างไร
และผมมานั่งคิดระหว่างเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าของตัวเอง และแล้วสายตาก็จ้องมองไปที่โทรศัพท์ดังยี่ห้อหนึ่งในสมัยนั้น แล้วโทรไปหา ลุงวินมอเตอร์ไซต์ให้พาผมเอาโทรศัพท์ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวของผมไปขายที่ร้านโทรศัพท์ในตัวอำเภอ
ราคาโทรศัพท์ที่ผมซื้อมาด้วยเงินของตัวเองนั้นกับราคาที่ขายได้นั้นต่างกันลิบลับ
มันช่างได้เงินน้อยมากเพราะตกรุ่นไปเสียแล้ว แต่ในใจผมก็คิดว่าเอาวะ
ได้เงินแค่นี้ก็ดีกว่าไม่มีเงินไปหาพ่อและแม่เลย
เมื่อผมคิดอย่างนี้แล้วก็ทำให้ยิ้มออกมาได้
และเพื่อจะไปหาท่านทั้งสองกลับไม่เสียดายโทรศัพท์เครื่องนั้นเลย
ผมจึงให้ลุงขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟ ในตัวเมืองและซื้อตั๋วรถไฟ
และนั่งรอนี่คือจุดเริ่มต้นของ ก้าวเดินต่อไปของเด็กชายคนหนึ่ง เป็นสิ่งที่ตื่นเต้นมากๆ และดีใจมากที่สุดในชีวิตของผมเลยทีเดียว
ไม่มีอะไรที่จะมีความสุขมากเท่านี้ในชีวิตตั้งแต่เด็กมา เพราะว่าถูกการเรียนทำให้ต้องอยู่ห่างไกลพ่อแม่มาเป็นเวลานาน
และก็ไม่เข้าใจเหตุผลเหมือนกันว่าทำไม แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า
อิสระที่จะเลือกสำคัญที่สุด ผมได้แต่ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะนั่งรอรถไฟ
และนานพอสมควรที่รถไฟขบวนนี้จะมา และทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ปรู๊น ปรู๊น
ฉึกฉัก ฉึกฉัก เสียงดังกล่าวแล่นมาแต่ไกลด้วยความเร็ว
และมีเสียงจากนายสถานีประกาศแจ้งเป็นระยะๆ เมื่อรถไฟขบวนนี้มาแล้ว ผมไม่ลังเลเลยที่จะกระโดดขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนไม่เคยขึ้นรถไฟมาก่อนเลยในชีวิต ระหว่างทางที่รถไฟขบวนนี้วิ่งไป นั่งชมวิวทิวทัศน์บวกกับสายลมเย็นๆและวิถีชีวิตผู้คนข้างทางอย่างสบายใจ
และคิดอีกว่าทำไมชีวิตของพวกเขามันช่างเรียบง่ายจริงๆ ไม่ต้องดิ้นรนอะไรให้ลำบากใจมากมาย ได้สังเกตุดูผู้โดยสารทั่วไปด้วย และในจำนวนนั้นก็มีฝรั่งอยู่ด้วย ผมเพิ่งจะเห็นฝรั่งจริงๆว่าเป็นยังไง เพราะจังหวัดที่อยู่ไม่มีฝรั่งหรือคนชนชาติอื่นๆ เลยนอกจากคนไทยด้วยกัน
และนี่สินะคือการก้าวไปสู่โลกกว้างด้วยตัวเอง สัมผัสสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง ไม่ต้องมองดูเพียงแค่ในโทรทัศน์จอเหลี่ยมๆอย่างเดียว
แต่ผมจะเห็นสิ่งต่างๆด้วยตาของตัวเอง และสัมผัสมันจริงๆว่าเป็นยังไง
เมื่อครุ่นคิดไปมา ก็ผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัวเพราะเหนื่อยจากภาระก่อนหน้านี้มามาก
ผมไม่เคยหลับแบบมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย
และผมก็ไม่ค่อยมีความรู้สึกดีแบบนี้บ่อยนัก รถไฟวิ่งผ่านไปสถานีแล้วสถานีเล่า แล้ว และผมก็ต้องตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงประกาศของสถานีอันเป็นจุดหมายปลายทาง รถไฟขบวนดังกล่าวที่จอดนิ่งอยู่กับที่ ถึงแล้วหรอผมพูดพลางขยี้ตา แล้วรีบเก็บกระเป๋าเป้เสื้อผ้าสะพายลงบันไดรถไฟมา
แล้วผมจึงมองไปรอบๆตัว และพูดกับตัวเองว่านี่เองหรือที่เขาเรียกว่ากรุงเทพฯ
มันช่างเจริญเสียจริงๆ และทันสมัยกว่าที่เห็นในทีวีมาก ตึกช่างสูงใหญ่จริงๆ
และบ้านช่องคนก็มากมาย รถต่างๆก็มีวิ่งบนถนนมากมายชีวิตผู้คนช่างเร่งรีบกันเสียจริง และเราจะมีวิถีชีวิตแบบพวกเขากันไหมนะ
เพราะเด็กต่างจังหวัดอย่างผมต้องใช้เวลาปรับตัวในกรุงเทพเป็นอย่างมาก
และบอกตัวอีกว่าอย่าเพิ่งคิดมากเลย ไปหาพ่อแม่เราก่อนดีกว่า แล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงกับชีวิตต่อก็แล้วกัน
ผมจึงหยิบเศษเหรียญที่พอมีอยู่ในกระเป๋าของผมอยู่บ้างออกมาและมองหาตู้โทรศัพท์สารธารณะที่อยู่ใกล้ๆ
แล้วผมก็มองไปเห็นตู้โทรศัพท์ดังกล่าว และก็รีบหยอดเหรียญแล้วกดเบอร์โทรหาแม่ทันที ตื้ด ตื้ด ทันใดนั้นเสียงแม่ พูดขึ้น ฮัลโหลๆ ใครคะ เท่านั้นแหละผมน้ำตาไหลออกมาเลย
และบอกกับแม่ของผมว่า แม่ผมมาหาแม่ที่กรุงเทพแล้วนะ เมื่อแม่ผมเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูดผ่านโทรศัพท์ ถึงกับตกใจ คิณมาได้ยังไงเสียงตกใจปนดีใจของแม่ผมทำให้ผมอยากเจอพ่อกับแม่เร็วๆ เพราะตอนนี้คิดถึงท่านทั้งสองมาก
และผมบอกแม่ว่า ตอนนี้ผมอยู่สถานีรถไฟ ต้องขึ้นรถเมล์สายอะไรไปหาแม่ครับ ผมจึงทำตามที่แม่บอกว่าต้องขึ้นรถเมล์สายนั้น
ด้วยความที่ผมเคยขึ้นรถเมล์เป็นครั้งแรก จึงดีใจปนตื่นเต้นและคิดต่อมาว่า ต่อไปเวลาผมจะไปทำธุระที่ไหนในกรุงเทพ ไม่ต้องอาศัยคนอื่นหรือเดินไปเหมือนเมื่อก่อนเหมือนที่อยู่ต่างจังหวัดอีกต่อไปแล้ว
เพราะรถเมล์จะทำหน้าที่พาผมไปทุกที่ที่อยากจะไป ผมจึงเดินออกมารอที่ป้ายรถเมล์
แล้วรถเมล์ที่ผมจะไปก็เป็นรถเมล์แอร์ บรื้น บรื้น เสียงดังของรถสีส้มวิ่งมาแต่ไกล ผู้คนที่รอรถเมล์ป้ายเดียวกับรีบยกมือกวักกันจ้าละหวั่น เอี๊ยดดดด เสียงเบรคดังขึ้น พรึ่บประตูเปิดออกอัตโนมัติ ให้คนข้างบนลงก่อนนะคะ เสียงผู้หญิงบนรถพูดขึ้น แล้วผู้คนรอบข้างเบียดเสียดแย่งกันขึ้นรถเมล์จนผมเกือบขึ้นไม่ทัน เมื่อขึ้นรถเมล์มาได้แล้ว อากาศบนรถเย็นสดชื่นกับแอร์ที่พ่นมาถูกผิวของผมมันทำให้ผมรู้สึกหนาวมากๆครับ
ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวภายนอก มันช่างแตกต่างกันอย่างลิบลับเลย แกร็กๆๆ
เสียงเขย่าเหรียญก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่าผมต้องหยิบเหรียญค่าโดยสารออกมาจ่ายแล้ว
สักพักกระเป๋ารถเมล์ก็เดินมาหยุดตรงผมแล้วถามผมว่า
ลงที่ป้ายไหนคะ ลงป้ายหน้าหมู่บ้านลัดดาครับผมกล่าว เมื่อถึงป้ายช่วยบอกผมด้วยนะครับ เพราะเพิ่งเคยมา กลัวจะเลยป้ายที่แม่บอกผมไว้
กระเป๋ารถเมล์ก็บอกว่าได้ๆ ทำให้สบายใจไม่ต้องกลัวนั่งเลยป้าย และถือโอกาสอาศัยช่วงเวลานี้ในการศึกษาเส้นทางและชื่อป้ายรถเมล์ไปด้วยจะได้ไม่ต้องอาศัยถามผู้คนบ่อยๆ
กลัวคนจะรำคาญเอา เราต้องพยายามเรียนรู้และเพิ่งพาตนเองให้มากเข้าไว้ เมื่อดูบรรยากาศข้างทางผมก็ตื่นเต้นกับวิถีชีวิตผู้คนที่นี่
และครุ่นคิดถึงวิถีชีวิตที่จะได้มาเริ่มต้นใหม่ที่นี่หลังจากตัดสินใจหันหลังให้กับชีวิตต่างจังหวัด และการกล้าที่เคยขีดเส้นกำหนดชีวิตของตัวเอง เพราะผมจะมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่กับความฝันของชายผู้ไม่เรียนต่อได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น