วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2561

เอื้องกุหลาบกระเป๋าเปิด

                                                                 
( Photo by  http://board1.trekkingthai.com/board/show.php?forum_id=18&topic_no=168285&topic_id=170382)
             
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Aerides  facalta Lindl.



วงศ์  Orchidaceae



ลักษณะ   เอื้องกุหลาบกระเป๋าเปิดเป็นกล้วยไม้ที่มีการเจริญเติบโตทางยอด ใบมีลักษณะแบนแคบ รากเจริญออกทางด้านข้างของลำต้น ออกดอกที่ลำต้น ดอกสีครีมปากดอกสีม่วงอมชมพูระเรื่อ มีกลิ่นหอมแรง ช่อดอกห้อยลงมาจากลำต้น



ฤดูออกดอก  เดือนเมษายน - พฤษภาคมของทุกปี



การขยายพันธุ์ ด้วยการเพาะเนื้อเยื่อ และด้วยวิธีการเพาะเมล็ด รวมทั้งแยกหน่อที่โตแล้วออกจากต้นแม่

วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561

ผู้อ่านคนแรกคือคนเขียน

ในโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นบทความหรือเป็นความรู้ใดๆก็ตาม ผู้อ่านคนแรกคือคนเขียนเสมอ เพราะถ้าคนเขียนไม่อ่านแล้วรู้ได้ยังไงว่าเขียนอะไรลงไป คลังแห่งความรู้และทุกบทความก็มีมากมายในโลกของหนังสือทั้งหมดล้วนแต่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษรโดยผู้เขียนทั้งนั้น ผู้อ่านคือคนรับข้อมูลเข้ามาในสมอง ส่วนผู้เขียนคือคนที่ส่งออกเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ผ่านทางตัวอักษรและอารมณ์ที่ต้องการจะสื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ด้วยเช่นกัน สติปัญญาได้ถูกถ่ายทอดผ่านเรื่องราวของตัวอักษรมาหลายพันปีตั้งแต่มีมนุษย์ และทุกตัวอักษรได้ทำหน้าที่ของมันในการทำให้ผู้อ่านได้รับปัญญาด้วยเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้เราเห็นคุณค่าของการอ่านและการเขียนไม่ว่าจะเขียนเรื่องราวหรือว่าสิ่งใดก็ตามล้วนแต่มีความหมายของมันอยู่ในนั้นเสมอ ทุกสิ่งที่จดบันทึกลงไปผ่านทางตัวอักษรสามารถทำให้ผู้คนจดจำได้และไม่ลืมเสมอไม่ว่าจะเป็นภาษาใดๆในโลกใบนี้ก็ตาม ดังนั้นแล้วผู้ที่อ่านกับผู้ที่เขียนส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นคนเดียวกันเสมอ ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งมีความสามารถเขียนได้มากขึ้นตามไปด้วยเท่านั้น ขอบคุณสำหรับทุกความรู้ในหนังสือและขอบคุณทุกตัวอักษรที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวด้วยเช่นกัน จึงทำให้เกิดสติปัญญาต่างขึ้นมาได้หนังสือคือสมบัติอันล้ำค่าในนั้นมีปัญญาซ่อนไว้ผ่านตัวอักษรมากมาย ดังที่มีความสอนของชาวยิวสอนต่อกันมาว่า เงินทองทรัพย์สมบัติย่อมสูญหายหรือถูกขโมยไปได้ แต่ความรู้และสติปัญญาไม่มีใครสามารถเอามันไปจากเราได้ อาจจะสามารถกล่าวได้ว่าหลักความจริงที่ว่ามานี้ คือการเงินทองเมื่อหามาได้ย่อมหมดไปหรือสูญหายและอาจจะถูกขโมยไปได้เสมอ แต่ว่าสติปัญญาผ่านการอ่านและการเขียนนี้คือสิ่งที่สามารถนำเงินและทองมาสู่เราได้ตลอดเวลาผ่านทางความรู้และความสามารถของคนนั้นที่ได้รับจากการอ่านและการเขียนอยู่เสมอ ดังนั้นแล้วหนังสือบนโลกทุกเล่มผู้อ่านคนแรกของหนังสือเล่มนั้นๆ หรือบทความนั้นก็คือผู้เขียนก่อนเสมอ 

เอื้องครั้งแสด


                                         
 รูปภาพโดยhttps://i.pinimg.com/originals/fe/eb/8a/feeb8ad4e5bb9ac2857deedd4ad270a8.jpg

ชื่อวิทยาศาสตร์  (Dendrobium unicum seidenf)


วงศ์ Orchidaceae


ลักษณะ เอื้องครั้งแสดเป็นไม้อิงอาศัย ลำลูกกล้วยยาว 5-10 เซนติเมตร ใบอยู่ตามข้อของลำลูกกล้วย ดอกออกตามข้อบานเต็มที่มีขนาด 2-3 เซนติเมตร ดอกมีสีส้มแสดอมแดง


แหล่งที่พบ  สามารถพบได้ในธรรมชาติในป่าสน ป่าผลัดใบ และป่าดิบชื้น ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ


ฤดูออกดอก จะอยู่ในช่วงเดือน กุมพาพันธุ์ ถึงเดือน เมษายนของทุกปี


บทที่ 6 เด็กชายที่ทำให้หัวใจเต้นแรง


เฮ้อ ใกล้จะ 21:30 ครึ่งแล้วสินะ ชายหนุ่มหน้าตาดีชื่อต้นกล้า ถอนหายใจตอนมองที่นาฬิกาดูเวลาของวันเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆจังต้นกล้าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ต้นกล้าเดี๋ยวเตรียมตัวนับเงินแคชเชียร์นะพี่จะปิดยอดแล้ว เสียงผู้จัดการร้านสาวผมสั้นดังขึ้น ครับพี่อุ้มต้นกล้าขานรับ เฮ้ย ไอ้ต้นมึงเป็นอะไรของมึงวะวันนี้กูได้ยินแต่เสียงบ่นกับเสียงถอนหายใจของมึงตลอดเลย ตั้งแต่เด็กหนุ่มพนักงานใหม่คนนั้นกลับบ้านไป กูก็ไม่รู้ว่ะไอ้โอ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับกูตั้งแต่กูเจอหน้าน้องภาคิณตั้งแต่วันแรกหัวใจของกูก็เต้นแรงตลอดเวลาจิตใจกูไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยว่ะ ไอ้ต้นกูว่ามึงต้องหลงรักน้องคิณเด็กใหม่อะไรของมึงเข้าแล้วหล่ะว่ะ มึงไปทำงานของมึงต่อป่ะไอ้โอ ต้นกล้าหงุดหงิดพร้อมกับทำท่าไล่ เดี๋ยวมึงก็เก็บของล้างไม่เสร็จทันปิดร้านพอดีนี่ก็ 21:36 .แล้วนะเนี่ย กูว่าแล้วว่ามึงต้องบอกกูแบบนี้เพราะกูพูดแทงใจดำมึงใช้ไหมไอ้ต้น มึงกับกูสนิทกันจนรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วหล่ะว่ะไอ้ต้น มึงมีเรื่องอะไรก็ปิดบังกูไม่ได้หรอก โอชายหนุ่มหน้าตี๋ผิวขาวพูดใส่ต้นกล้าก่อนจะเดินไปเก็บของอย่างคล่องแคล่วในตู้ไก่ทอดเพื่อไปเตรียมล้างที่อ่างซิงค์เหมือนทุกวันตอนใกล้จะปิดร้าน ต้นกล้าเสียงพี่อุ้มผู้จัดการร้านดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมเดินมาเพื่อเตรียมสรุปยอดขายของวันนี้พี่อุ้มทำงานได้อย่างคล่องแคล่วมากแกร็กและแล้วเสียงถาดใส่เงินก็เด้งออกมา อ่ะนับยอดได้เท่าไหร่ก็บอกพี่ด้วยละกัน   พี่อุ้มเดินเข้าไปในห้องผู้จัดการและทำหน้าที่ของตัวเองต่อเหมือนทุกวัน 15 นาทีต่อมาขาดไป 1 บาทครับ แปลกจังปกติยอดไม่เคยขาดเคยหายแต่ทำไมวันนี้ยอดขาดไป 1 บาทต้นกล้าเอ่ยขึ้นกับพี่อุ้ม ไม่เป็นไรต้นกล้าปิดตำแหน่งตัวเองเสร็จแล้วไปช่วยไอ้โอมันล้างของไปจะได้ปิดร้านเก็บของเสร็จเร็วๆ ไอ้โอมันยิ่งแอบอู้งานบ่อยอยู่ด้วย พี่อุ้มบ่นให้ต้นกล้าฟัง  ครับ เฮ้อทำไมต้องช่วยมันด้วยเนี่ย ที่ไอ้โอมันล้างไม่ค่อยจะทันเวลาเพราะมัวแต่คุยกับไอ้อ้วน กับไอ้แว่นอยู่แน่ๆ ไอ้นี่นี่ทุกวันเลย  ผมเดินผ่านห้องล้างของเพื่อเตรียมเก็บของส่วนตัวก่อน 4 ทุ่ม เฮ้ยไอ้ต้นมึงมาพอดีเลยช่วยล้างต่อให้กูหน่อยดิเดี๋ยวกูไปสูบบุหรี่ก่อน ผมมองหน้าไอ้โออย่างเบื่อหน่าย เฮ้อไอ้โอมึงนี่ใกล้จะปิดร้านทีไรมึงต้องหนีงานไปสูบบุหรี่ทุกทีเลย พี่อุ้มเตือนไปหลายครั้งก็ยังไม่เข็ดอีกหรอวะ เดี๋ยวสักวันพี่อุ้มจะให้ใบเตือนมึง เฮ้ยพวกมึงล้างเสร็จรึยังเนี่ยเสียงพี่ติ๋มผู้ช่วยผู้จัดการหญิงร่างเล็กเอ่ยขึ้นพร้อมเสียงดุ ครับพี่ติ๋มล้างใกล้จะเสร็จแล้วครับ เออเร็วๆหน่อยก็แล้วกันอย่ามัวแต่คุยกันเดี๋ยวปิดร้านไม่ทัน พี่ติ๋มก็เดินออกไป เฮ้ยไอ้ต้นกูไปก่อนนะเว้ย      เดี๋ยวใกล้สแกนนิ้วกูมา พูดยังไม่ทันขาดคำเจ้าของเสียงก็หายไปอย่างรวดเร็ว เฮ้ยไอ้โอ เสียงต้นกล้าเรียกไม่เคยทันเลยสักครั้ง เฮ้อไอ้เพื่อนชั่วเอ๊ย กูจะมาทำแทนมึงตลอดไม่ได้นะเว้ย ผมพูดพลางบ่นเพื่อรีบล้างต่อให้เสร็จๆ  ผ่านไป 18 นาที เฮ้อล้างเสร็จสักที อ้าว เวลา 21:54.แล้วหรอวะเนี่ย ดีนะที่ล้างเสร็จทันต้นกล้ากล่าว เตรียมตัวกลับดีกว่า ไงไอ้ต้น เสียงโอเพื่อนรักแสนกวนตีนกอดคอต้นกล้าพลางพูดคุยเพื่อรอเวลาอีก 6นาที เออไอ้ต้นเลิกงานแล้วไปกินเหล้ากะกูต่อป่ะเหมือนทุกวันไงเสียงโอเอ่ยชวนขึ้นมา ไม่เอาว่ะไอ้โอวันนี้กูไม่อยากไปว่ะกูอยากรีบกลับไปนอนพรุ่งนี้กูต้องเข้างานกะเช้าด้วย กูไม่ได้เข้ากะบ่ายเหมือนมึงทุกวันนะเว้ยไอ้โอ เฮ้อเซ็งว่ะกูไปกินเหล้ากับไอ้อ้วนไอ้แว่นก็ได้วะ เสียงโอพลางบ่น ทันใดนั้นเอง แว่บไฟทั้งร้านปิดมืดสนิทจนมองอะไรไม่เห็น เฮ้ย 22:00 แล้วว่ะพวกมึง โอกล่าว เฮ้อพี่ติ๋มแกล้งพวกเราอีกแล้ว  ไอ้พวกนี้นี่ เวลา22:00 .พวกมึงจะกลับบ้านกันไหมเนี่ยเสียงแจ๋นๆของหญิงร่างเล็กดังขึ้น ครับพี่ติ๋ม ติ๊ดๆๆๆ เสียงแสกนนิ้วดังขึ้นอย่างถี่ๆติดกัน เรียบร้อยแล้ว สวัสดีครับพี่อุ้ม พี่ติ๋ม เสียงพนักงานเกือบทุกคนต่างไหว้ผู้จัดการก่อนกลับเหมือนทุกวัน กูกลับก่อนนะไอ้โอ เออมึงกลับบ้านดีดีล่ะไอ้ต้น มึงอย่ากินเหล้าจนมาทำงานไม่ไหวเหมือนวันนั้นอีกนะเว้ย เดี๋ยวโดนใบเตือนอีกใบ ใบก่อนยังไม่เข็ดอีกนะมึงผมพูดกล่าวเตือนไอ้โอไป เออกูรู้แล้วน่าไอ้ต้นไอ้นี่เพื่อนหรือพ่อกูว่ะเนี่ยสอนกูจังเลย พอสิ้นเสียงต่างคนก็ต่างกลับบ้านใครบ้านมันเพื่ออาบน้ำพักผ่อนนอนหลับเพื่อจะได้มีแรงตื่นขึ้นมาทำงานของวันถัดไป เฮ้อ ผมเดินไปเรื่อยๆพลางคิดถึงหน้า       น้องภาคิณอีกครั้งและอดยิ้มไม่ได้ถึงความน่ารักของเด็กชายคนนี้ เมื่อไหร่น้องคิณจะมีโทรศัพท์ใหม่นะได้คุยไลน์กันสักที แต่ว่าน้องคิณจะรับแอดไลน์เราไหมนะ ถ้าเราบอกรักน้องคิณไปแล้ว เราจะโดนเกลียดหรือเปล่าวะความคิดฟุ้งซ่านทำให้ชายหนุ่มหล่อเหลาชื่อต้นกล้าสับสนใจมากมาย เฮ้อถึงบ้านสักทีอาบน้ำนอนดีกว่า ต้นกล้ารีบถอดรองเท้า ถอดเสื้อผ้าออกอย่างรวดเร็วทำให้เห็นทุกส่วนอณูแห่งรูขุมขนของร่างกายอันกำยำแบบชายหนุ่มย่างเข้าวัยรุ่นอย่างเต็มตัว ร่างกายอันเปลือยเปล่าไม่มีอะไรปิดของชายหนุ่มช่างงดงามตามสมวัยจริงๆ ครึบ เสียงปิดประตูห้องน้ำดังขึ้น ซ่า ซ่า น้ำเย็นๆไหลออกจากฝักบัวพุ่งรดร่างกายอันร้อนผ่าวของชายหนุ่มผู้ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน อ้า เย็นสดชื่นใจจังเลย มือที่ถือสบู่ลูบไล่หน้าอกไปและต้นคอไปมา คิณครับคิณครับ ต้นกล้าพลางหลับตาคิดถึงหน้าภาคิณแล้วร้องครางเรียกภาคิณเบาๆ แล้วเอาสบู่ลูบไล้ไปทั่วทั้งตัว และแล้วชายหนุ่มก็สะดุ้งตื่นจากภวังค์แห่งจินตนาการ กูเป็นอะไรไปว่ะเนี่ยโรคจิตจริงๆเลยกูนี่ ต้นกล้าตั้งสติได้ก็รีบอาบน้ำเสร็จอย่างรวดเร็ว รีบเช็ดตัวใส่เสื้อผ้าสายตาจ้องมองไปที่นาฬิการ เฮ้อเวลา 23:00 แล้วหรอเนี่ย ต้นกล้าพูดแล้วสายตาจ้องมองนาฬิกาแล้วเดินไปปิดไฟ แว่บบบบ แสงไฟปิดลงท่ามกลางความมืดร่างของชายหนุ่มกองอยู่บนที่นอนเหมือนคนไม่ได้สติเพราะเหนื่อยจากงานที่ทำมาทั้งวัน…….

บทที่ 5 งานกับรักแรกที่ไม่ทันตั้งตัว


ก๊อก ๆ  ก๊อก ๆ….. เสียงเคาะประตูเรียกก็ดังขึ้นอีกครั้ง คิณตื่นอาบน้ำแปรงฟันได้แล้วลูก เสียงคุณแม่พูดแต่เช้า  ครับแม่กำลังผมลงไปครับ  ทุกอย่างเสร็จหมดแล้วครับ  แม่เตรียมอาหารเช้าให้แล้วนะลูก มีไข่เจียว ผัดผักคะน้า ปลาทอดราดพริก ผมอุทาน ว้าวน่าทานทั้งนั้นเลย แม่เตรียมตักข้าวให้กับผม แล้วพ่อล่ะครับผมเอ่ยถาม อ่อ พ่อรีบไปเข้างานตั้งแต่ 6 โมงแล้วล่ะลูก พ่อไปทำงานเช้าจังเลยนะครับแม่ จ่ะ รีบทานข้าวกันเถอะลูก เดี๋ยวสายๆสัก 8 โมง แม่ต้องไปทำงานจ่ะ แม่ทำงานที่ไหนครับ ผมทานข้าวแล้วพลางถามแม่ งานบ้านน่ะลูก งานนี้แม่เองก็ทำมาได้ครึ่งปีแล้ว เพราะงานก่อสร้างมันหนักแม่ทำเหมือนเมื่อก่อนไม่ไหว   จึงขอหัวหน้าลาออกมาแล้วก็โชคดีได้งานแม่บ้านในหมู่บ้านพอดี ดีจังเลยนะครับแม่ วันนี้ผมเองก็จะไปสมัครงานเคเอฟซี ที่คุยไว้เมื่อวานด้วยครับ  เอ๊ะ คิณจะไปทำจริงๆหรอลูก แม่อุทานขึ้น คือว่าแม่ยังไม่ได้ปรึกษาพ่อเรื่องงานใหม่ของลูกเลยน่ะ แม่เอ่ย  ไม่เป็นไรหรอกครับแม่รีบทานข้าวก่อนเถอะครับเดี๋ยวข้าวเย็นซะก่อน จ่ะลูก ระหว่างทานข้าวกับแม่ผมก็ได้พูดคุยกันไปหลายเรื่อง อิ่มแล้วครับ ผมเอ่ยขึ้นพร้อมกับเอามือลูบท้อง แม่ผมหันมายิ้มให้ แม่ครับวันนี้ผมจะล้างชามให้เองนะครับ ไม่ต้องหรอกจ่ะคิณ เอาชามไว้ที่อ่างล้างจานก็พอแล้วเดี๋ยวกลับมาแม่จะล้างเอง  อุ๊ย…..ตายจริงนี่เวลาเร็วจริงๆเลย 7:20. แล้วหรอเนี่ย แม่ต้องรีบไปทำงานก่อนนะคิณ แม่พูดด้วยท่าทางรีบร้อนพร้อมกับนำกล่องข้าวกลางวันกับกระเป๋าสะพายใส่หน้าตะกร้ารถจักรยานแม่บ้านสีชมพูคันนั้น  คิณถ้าหิวเอาอาหารในตู้เย็นมาอุ่นกินไปก่อนนะลูก เงินแม่วางไว้ที่โต๊ะห้องนั่งเล่นนะลูกแม่ต้องรีบไปทำงานก่อนนะ ถ้าไปสายเดี๋ยวคุณนายจะบ่นแม่เอา     เมื่อสิ้นเสียงของแม่ก็รีบปั่นจักรยานไป  ผมได้แต่ยืนมองแม่รีบปั่นจักรยานแม่บ้านจนลับสายตาผม  เฮ้อ นี่เราต้องอยู่บ้านคนเดียวอีกแล้วหรอเนี่ย ผมพูดพลางเอ่ยถอนหายใจไปด้วย เหงาจังเลย  เอาล่ะเริ่มล้างจานก่อนดีกว่า แล้วเด็กชายเอาเศษอาหารในจานชามบนโต๊ะเขี่ยลงถังขยะทันที แล้วนำไปไว้ในอ่างล้างจานแล้วบรรจงล้างทีละใบๆจนเสร็จ  เฮ้อเสร็จสักที เมื่อแม่กลับบ้านมาจะได้ไม่เหนื่อย วันนี้จะทำอะไรต่อดีนะไปสมัครงานดีกว่า ผมพูดพลางขึ้นไปหยิบกระเป๋าเตรียมเอกสารที่ถ่ายไว้มาเขียนสำเนาถูกต้องกำกับเอาไว้ และรีบแต่งตัวออกจากบ้าน อืม เกือบลืมเงินที่แม่ทิ้งไว้ให้แล้วไหมล่ะ  แต่โหว แม่ให้ตั้งเงิน 100 บาทเลยหรอเนี่ย เด็กชายร้องอุทานขึ้นด้วยความตกใจ แล้วปิดประตูล็อคกุญแจบ้านแล้วรีบเดินไปที่ป้ายรถเมล์ ทันที 20 นาทีผ่านไป เฮ้อ รถเมล์ไม่มาสักทีเลยนะ และแล้วความหวังของผมก็ปรากฏขึ้นรถเมล์สายเดิมที่ผ่านห้างเซ็นทรัลก็ปรากฏขึ้น เฮ้อมาสักทีมานานจริงๆ ผมไม่รีรอที่จะโบกมัน แอร๊ดดดเสียงเบรกของรถโดยสารประจำทางคันใหญ่ดังขึ้นจอดตรงหน้าของผม พรึ่บ ประตูก็เปิดออกโดยอัตโนมัติ  เด็กชายก้าวขึ้น ไปบนรถเมล์อย่างรวดเร็ว  ว้าว…. วันนี้ดีจังที่ว่างเยอะเลยนั่งริมหน้าต่างก็แล้วกัน แกร๊งๆ เสียงเขย่าเหรียญก็ดังขึ้น ลงป้ายไหนค่ะกระเป๋ารถเมล์คนเดิมถาม ลงเซ็นทรัลลาดพร้าวครับ  ค่าโดยสาร 13 บาทค่ะ      ผมล้วงเหรียญที่พอมีในกระเป๋าอยู่บ้างและนำมันออกมานับ โอ๊ะ มี 13 บาทพอดีเลยแฮะ แล้วยื่นให้กับกระเป๋ารถเมล์ไป รถเมล์ก็วิ่งไปเรื่อยๆ ผมได้แต่นั่งมองข้างๆทางเห็นวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนมากมายที่แตกต่างกันออก ผ่านไปป้ายแล้วป้ายเล่า เซ็นทรัลป้ายหน้าลงป้ายนี้เตรียมตัวกดกริ่งด้วยนะคะ เสียงกระเป๋ารถเมล์ดังขึ้นเพื่อแจ้งเตือนเป็นระยะๆ กริ๊งงงงง เสียงกดกริ่งดังขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณแจ้งเตือนของผู้โดยสารว่าต้องการที่จะลงรวมทั้งผมด้วย พร้อมเสียงเบรคกับประตูก็เปิดออก ลงรถระวังรถข้างซ้ายมือด้วยนะคะเสียงของกระเป๋ารถเมล์กล่าวเตือน ระหว่างที่ผู้โดยสารทยอยลง ก่อนที่รถเมล์จะวิ่งไปป้ายต่อไป เฮ้อถึงสักทีนะ เซ็นทรัลลาดพร้าว ที่มีเสียงอึกทึกครึกโครมมากมาย แสงแดดจ้ายิ่งทำให้อากาศยิ่งร้อนมากยิ่งขึ้น เที่ยงแล้วหรอเนี่ยอากาศข้างนอกร้อนจังเลยเด็กชายบ่นพร้อมกับรีบเดินเข้าไปข้างในห้างอย่างรวดเร็ว เซลล์ค่ะๆ วันสุดท้ายแล้วนะคะสินค้าหมดแล้วหมดเลยค่ะ เสียงของผู้หญิงรูปร่างหน้าตาดีกำลังพูดออกไมค์เพื่อเซลล์ขายของ พร้อมกับเสียงรอบข้างมากมาย รีบไปดีกว่าผมบอกกับตัวเองแต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็กชาย จึงรีบขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสองทันที ว้าวที่นี่ร้านค้าเยอะจังเลยมีร้านขายโทรศัพท์ด้วยเข้าไปดูดีกว่า ผมพูดแล้วพลางเดินเข้าไปดูโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆที่วางขายเกลื่อนเลย สวัสดีครับคุณลูกค้าหาโทรศัพท์รุ่นไหนอยู่สอบถามผมได้นะครับ ชายหนุ่มวัยกลางคนหน้าตาตี๋ยิ้มให้กับผมพร้อมกับชี้มือไปที่โทรศัพท์รุ่นต่างๆแล้วบรรยายสเปคโทรศัพท์มากมาย ตัวนี้เป็นสมาร์ทโฟน Android ยี่ห้ออีโก้ ใช้งานง่ายสุดคุ้มราคาประหยัดซื้อเลยไหมครับแล้ววันนี้มีโปรโมชั่นพิเศษแถมฟิลม์กันรอยแถมเคสให้ด้วยนะครับ ยังดีกว่าครับพี่ผมแค่มาดูไว้ก่อนเฉยๆขอบคุณมากเลยนะครับที่แนะนำผม เด็กชายยิ้มให้หนุ่มตี๋ก่อนออกจากร้าน และแล้วผมก็รีบเดินออกจากร้านรีบลงบันไดเลื่อนไปชั้น G เพื่อไปยังภารกิจของผม คือการสมัครงานนั่นเอง เฮ้อ ถึงสักทีร้านเคเอฟซีสักที แล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ บรรยากาศร้านคนยังเยอะเหมือนเดิมเลยนะเนี่ย สวัสดีครับสั่งอาหารเชิญด้านนี้ครับ เด็กชายหันไปเห็นพนักงานชายหนุ่มรูปหล่อคนเมื่อวานที่กำลังยืนยิ้มหวานให้ตั้งแต่แรกเห็นอย่างไม่ลดละ น้องมาสมัครงานใช่ไหมครับชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ทำไมพี่จำผมได้ครับ  คนน่ารักอย่างน้องพี่จำได้เสมอครับ ชายหนุ่มเอ่ยชื่นชม เอ่อ ผมได้แต่ยืนยิ้มทำอะไรไม่ถูก รู้สึกเขินๆ เพราะไม่เคยมีใครพูดกับผมแบบนี้มาก่อนเลย เดี๋ยวพี่ไปตามผู้จัดการมาให้นะครับ พนักงานชายหนุ่มเดินหายไปสักพัก แล้วเดินออกมาพร้อมกับพี่ผู้จัดการผู้หญิงผมสั้นหน้าตายิ้มแย้มดูท่าทางใจดีมองมาทางผมแล้วเปิดประตูออกมา สวัสดีค่ะน้องชื่ออะไรคะ สวัสดีครับผมชื่อภาคิณพร้อมกับยกมือไหว้ตามมารยาท  พี่ชื่ออุ้มนะคะผู้จัดการสาขานี้ ก่อนอื่นพี่อุ้มจะไม่พูดอะไรมาก แต่จะบอกรายละเอียดทั้งหมดให้น้องภาคิณฟังก่อนนะคะ ครับผมเอ่ย แล้วตั้งใจนั่งฟัง นี่รายละเอียดทั้งหมดนะคะ น้องภาคิณ แล้วพรุ่งนี้พี่จะโทรไปบอกรอบเวลาที่น้องภาคิณ จะต้องเข้ามาทำงานอีกที กรอกใบสมัครงานไปก่อนนะ พี่อุ้มต้องขอตัวก่อน  ถ้าเสร็จแล้วบอกพนักงานชายที่ชื่อพี่ต้นกล้าหน้าเค้าเตอร์นะคะ ครับขอบคุณมากครับพี่อุ้ม ไม่เป็นไรค่ะพี่อุ้มผู้จัดการร้านยิ้มให้ผมก่อนจะเดินจากไป ผมก็เหลือบมองไปเห็นพนักงานชายหนุ่มที่ชื่อต้นกล้ายืนยิ้มมองมาที่ผมอย่างไม่ลดละเหมือนเช่นเคย แต่ช่างเหอะผมรีบเขียนกรอกใบสมัครพร้อมกับเตรียมเอกสารอย่างรวดเร็ว แล้วรวบรวมเอกสารเข้าด้วยกันเดินตรงยังไปหน้าเค้าเตอร์ที่พนักงานชายหนุ่มหล่อยืนอยู่ เสร็จแล้วครับผมเอ่ยขึ้น  ครับ พนักงานหนุ่มตอบกลับอย่างรวดเร็วพร้อมยื่นมือมารับเอกสารจากมือผมไป ระหว่างที่พี่ต้นเดินเข้าไปก็ได้แอบอ่านเอกสารของผมด้วย เสียงพลางบ่นในใจก็ดังขึ้นว่าแอบอ่านเอกสารของเราทำไมเนี่ย เฮ้อ บ่นยังไม่ทันขาดคำ พี่ต้นกล้าเดินยิ้มออกมาหาผม น้องภาคิณ   วาตะนที นะครับ เฮ้ออีกรอบ ทำไมถึงเรียกซะเต็มยศเลยนะผมคิดในใจ  พี่ชื่อว่าต้นกล้าสินะครับผมเอ่ยขึ้น ชายหนุ่มหน้าหล่อเหลายิ้มหวานให้ผมยกใหญ่เมื่อได้ยินผมเรียกชื่อ   พี่อุ้มบอกชื่อพี่กับผมครับ แต่ผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับ ผมพูดขึ้นก่อนจะจากลากลับบ้าน เดี๋ยวก่อนสิครับน้องภาคิณ เด็กชายหันกลับทันที่ที่ได้ยินเสียงชายหนุ่มเรียกชื่อ  พี่เรียกผมว่าคิณเฉยๆก็ได้ครับ  ได้ครับน้องคิณอย่าเพิ่งกลับสิครับพี่ต้นมีอะไรจะให้น้องคิณ ชายหนุ่มพูดพร้อมกับทำหน้าอ้อนใส่ พี่ต้นกล้ามีอะไรจะให้ผมหรอครับ เด็กชายเอ่ยถามด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก ครืด ครืด ครืด เสียงกระดาษเครื่องปริ๊นดังขึ้นสามครั้ง  ฉึก แล้วชายหนุ่มตรงหน้าของผมฉีกกระดาษปริ๊นออกไปพร้อมกับยืนขีดเขียนอะไรบางอย่างลงในกระดาษแผ่นนั้นแล้วยื่นส่งมาให้ผม น้องคิณครับอันนี้เบอร์ของพี่ต้นกล้าเองนะครับ พร้อมกับไอดีไลน์ของพี่ กลับบ้านแล้วแอดไลน์มานะครับพี่อยากคุยด้วย เอ่อคือว่าจะดีเหรอครับผมเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย เด็กชายรับมาอ่านด้วยความงงงวยก่อนจะหันหน้ามองหน้าชายหนุ่มรูปหล่อชื่อต้นกล้าที่ยิ้มหวานให้เหมือนเคยก่อนที่ผมจะเดินออกมาจากร้านไป       เฮ้ย……ไอ้ต้นมึงให้เบอร์น้องคนพนักงานใหม่คนนั้นไปทำไมวะกูงงว่ะ มึงเห็นเหมือนที่กูเห็นไหมวะไอ้โอ ต้นเอ่ยถาม  เห็นดิวะไอ้ต้นเมื่อวานกูก็แอบดูน้องเขาอยู่ข้างหลังเป็นเด็กผู้ชายที่น่ารักซะด้วยว่ะ กูไม่เคยมองผู้ชายด้วยกันน่ารักแบบนี้มาก่อนถึงน้องเขาจะดูบ้านๆหน่อยก็ตาม  อย่าบอกนะไอ้โอเมื่อวานมึงก็แอบดูน้องคิณของกูด้วย เฮ้ยไอ้ต้นน้องเขายังไม่ได้มาทำงานมึงก็เหมาเป็นของมึงแล้วหรอวะ มึงไปถามน้องเขาหรือยังว่าน้องเขาชอบมึงไหมไอ้ต้น ถ้ามึงไปทำอะไรแบบนี้กับน้องเขามากๆระวังน้องเขาจะรังเกียจเอานะเว้ย เดี๋ยวจะหาว่ากูไม่เตือน กูรู้น่าไอ้โอมึงไม่ต้องมาสอนกูหรอกเข้าไปทำงานของมึงต่อไปไอ้นี่นี่ สอนยังกะเป็นพ่อกูเลยนะมึง ถ้าน้องเขามามึงอย่ามายุ่งกับน้องเขาก็แล้วกันต้นกล้าพูด กูไม่สนใจอยู่แล้วไอ้ต้นเชิญมึงจีบน้องเขาตามสบายเลย ให้จริงอย่างที่มึงพูดละกันไอ้โอต้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข  เฮ้อไอ้นี่ เห็นเด็กใหม่ไม่ได้เลยเด็กหนุ่มชื่อโออายุเท่ากันกับต้นก็พลางส่ายหัวพร้อมกับทำงานต่อ                               ฮัดชิ้วๆ ฮัดชิ้วๆ….เฮ้อ เราเป็นอะไรวะ จู่ๆก็จามออกมาทั้งที่ไม่ได้เป็นหวัด ต้องมีใครกำลังพูดถึงเราอยู่แน่ๆเลย เด็กชายบ่นออกมาพร้อมกับมองนาฬิกา บ่าย 2 แล้วหรอเนี่ยอากาศโคตรร้อนเลย ดีนะที่ป้ายรถเมล์มีร่ม ต้องรีบกลับไปอาบน้ำพักผ่อนแล้วสิเราพรุ่งนี้ต้องทำงานแล้วและพรุ่งนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าต้องเข้างานกี่โมง เพราะผมต้องรอพี่อุ้มผู้จัดการร้านโทรมาบอกอีกที ดีจังรถเมล์มาพอดีผมไม่รีรอรีบก้าวขึ้นไปทันทีเพราะเพลียกับแสงแดดและเหนื่อยเพลียกับการเดินทาง อะไรกันแค่นี้ก็เหนื่อยเพลียแล้วหรอเนี่ยแล้วพรุ่งนี้จะทำงานไหวไหมล่ะเนี่ย ผมพูดบ่นถึงตัวเองขณะนั่งอยู่บนรถเมล์สายเดิม ลงป้ายไหนครับ  ลงป้ายหน้าหมู่บ้านลัดดาครับ    13 บาท ผมล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วนับเหรียญยื่นเหรียญให้กับกระเป๋ารถเมล์หนุ่ม แต่เอ๊ะกระดาษอะไรติดมือมาด้วยวะเนี่ยผมร้องอุทานขึ้นมาพร้อมกับคลี่กระดาษที่ยับยู่ยี่ออกมาดู ในกระดาษเขียนว่า แอดไลน์พี่ต้นกล้าด้วยนะครับน้องคิณ พร้อมกับเบอร์โทรของพี่ต้นกล้า เฮ้อ ผมนั่งครุ่นคิดและยังไม่หายสงสัยเลยว่า พนักงานหนุ่มชื่อพี่ต้นกล้าให้ไลน์กับเบอร์โทรมาทำไม ช่างเถอะถ้ามีโทรศัพท์ใหม่ค่อยแอดเป็นเพื่อนก็แล้วกัน เฮ้ยนี่เราทำไมจะแอดพี่ต้นกล้าคนแรกเลยหรอเนี่ย นี่เราเป็นอะไรไป แค่เจอกันแค่สองครั้งนี่จะให้พี่ต้นกล้าเป็นคนสำคัญในชีวิตไปซะแล้วเหรอเนี่ย ถ้าเรามีโทรศัพท์เครื่องแรก และคนแรกที่ต้องแอดไลน์กับเบอร์โทรก็คือพ่อกับแม่ของผมต่างหากล่ะ ผมนั่งครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นาน รถเมล์ที่ผมนั่งก็วิ่งผ่านไปหลายป้ายแล้ว เฮ้อถึงบ้านสักทีเด็กชายเอ่ย      ลงป้ายหน้าหมู่บ้านลัดดากรุณากดกริ่งด้วยนะครับ กระเป๋ารถเมล์หนุ่มกล่าวขึ้นก่อนที่เสียงกริ่งจะดังขึ้น กริ๊งงงง เอี๊ยดดด เสียงรถเมล์เบรคเพื่อจอดป้ายที่ผมต้องการจะลง พรึ่บประตูก็เปิดอัตโนมัติ เด็กชายก้าวเท้าลงรถเมล์อย่างรวดเร็ว เฮ้อ ถึงบ้านสักที ผมรีบเดินมุ่งหน้าเดินทางกลับไปยังบ้านทันที 10 นาทีผ่านไปเฮ้อ ถึงหน้าบ้านแล้วแต่ อ้าว พ่อกับแม่ยังไม่กลับบ้านอีกหรอเนี่ย ผมรีบเดินเข้าไปไขกุญแจบ้านทันที เฮ้อไม่มีอะไรสุขใจเท่าบ้านเราอีกแล้ว ถึงแม้ว่าผมเพิ่งจะมาอยู่ก็ตามแต่กล้าพูดอย่างเต็มปากเลยว่านี่คือบ้านของผมเพราะเป็นบ้านของพ่อกับแม่ผมเหมือนกัน  นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อนดีกว่าแล้วค่อยอาบน้ำก็แล้วกันนะ  พรึ่บเด็กชายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เฮ้อร้อนจังเลยไม่รอแล้วอาบน้ำเลยดีกว่า นี่เราเป็นอะไรของเรานะเนี่ย อากาศร้อนๆแบบนี้หงุดหงิดชะมัดเลย เด็กชายรีบเดินเข้าห้องน้ำและเปิดฝักบัว ซ่า ซ่า เฮ้อสดชื่นจังเลยอากาศร้อนๆ ได้อาบน้ำเย็นแบบนี้ เด็กชายอาบน้ำไปเรื่อยๆอย่างเพลิดเพลิน แต่แล้วใบหน้าของพนักงานหนุ่มที่หล่อเหลาคมคายที่ชื่อว่าต้นกล้านั้น วนเวียนเข้ามาในหัวของเด็กชายตอนอาบน้ำ เฮ้อ นี่ขนาดคนกำลังจะอาบน้ำยังตามมาหลอกหลอนกันอีกหรอเนี่ย ผมอุทานขึ้นพร้อมกับถูสบู่ไปทั่วร่างกาย สระผม ล้างหน้า เฮ้อเสร็จซะที แล้วเช็ดตัวเป่าผมให้แห้งเป็นอะไรที่มีความสุขที่สุด ผมรีบขึ้นไปแต่งตัวและนอนลงบนที่นอนนุ่มๆและผล็อยหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้  มารู้ตัวอีกทีก็ ก๊อกๆ ก๊อกๆ คิณทำอะไรอยู่ลูก นอนอยู่เหรอจ๊ะ ครับแม่ ผมตื่นแล้วครับ กลับมาแล้วหรอผม ไม่เป็นไรลูกถ้าง่วงก็นอนต่อเถอะนะ แม่แค่จะปลุกลูกให้ลุกมากินข้าวน่ะ แล้วพ่อล่ะครับผมเอ่ยถามแม่ พ่อกลับมาแล้วลูกกำลังนั่งรอกินข้าวอยู่ในห้องครัวจ่ะ    งั้นเดี๋ยวผมลงไปนะครับแม่ จ่ะรีบลงมานะลูก ผมบิดขี้เกียจและรีบลงไปล้างหน้าแล้วรีบเดินเข้ามาในห้องครัว  ทันใดนั้นเอง ได้งานใหม่แล้วหรอลูก พ่อผมเอ่ยถามขึ้น ครับพ่อ ตอนพ่อกลับมาบ้านแม่เล่าเรื่องงานของลูกให้พ่อฟังหมดแล้วนะแล้วคิดว่าจะทำได้ไหมล่ะคิณ พ่อผมเอ่ยถามขึ้น ได้สิคะพ่อก็คิณลูกของเราก็โตเป็นหนุ่มแล้วนะ เราเลิกคุยเรื่องงานแล้วกินข้าวกันดีกว่านะ อืมครับแม่ ว้าวกับข้าวน่ากินทั้งนั้นเลยครับแม่ จ่ะลูกงั้นกินได้เลยนะแม่พูดพร้อมกับตักข้าวให้  คิณแล้วโทรศัพท์ของลูกล่ะ พ่อเอ่ยถามผมขณะกินข้าวอยู่  คำถามนี้ทำให้ผมหยุดกินชั่วขณะและอึดอัดใจที่จะตอบคำถามของพ่อเป็นอย่างมาก เอ่อคือว่าผมขายโทรศัพท์เครื่องเก่าไปแล้วครับเพราะว่าตอนนั้นผมไม่มีเงินมาหาพ่อกับแม่ที่กรุงเทพสักบาท แล้วตอนนี้จะติดต่อที่ทำงานยังไงล่ะลูก พ่อกล่าว ผมให้เบอร์ของคุณแม่ไปน่ะครับเดี๋ยวพี่อุ้มผู้จัดการคงโทรมาครับวันพรุ่งนี้ครับ คิณเอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะลูก เรื่องโทรศัพท์พ่อจะให้เงินคิณไปซื้อใหม่นะจะได้มีโทรศัพท์ไว้ติดต่อที่ทำงานและติดต่อพ่อกับแม่ได้ ไหนๆลูกก็จะทำงานแล้วนี่  โทรศัพท์สำคัญมากเลยนะลูกถ้าไม่มีมันจะติดต่อกันลำบาก เมื่อเด็กชายได้ยินว่าพ่อจะให้เงินไปซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ก็ดีใจมาก  ขอบคุณพ่อสิคิณเสียงคุณแม่เอ่ยขึ้น ขอบคุณครับพ่อกับแม่น่ารักที่สุดเลยเด็กชายดีใจที่สุดที่จะได้โทรศัพท์ใหม่ซะที ถ้าเราซื้อโทรศัพท์ใหม่ ไอ้พี่ต้นกล้าบ้านั่นก็จะรู้น่ะสิว่าเรามีไลน์แล้ว เฮ้อทำไมต้องมาคิดถึงพี่ต้นกล้าตอนกินข้าวด้วยนะเนี่ย หรือว่าเราจะหลงรักพี่ต้นกล้าแบบไม่ทันตั้งตัวเข้าซะแล้ว อะไรกันนี่พี่ต้นกล้ากับเราก็เป็นผู้ชายเหมือนกันจะรักกันได้ยังไง เฮ้อคิดแล้วก็ปวดหัว คิณๆเสียงแม่สะกิด อ้าวผมเหม่อลอยไปตั้งแต่เมื่อไหร่    แม่เห็นคิณเหม่อลอยไม่กินข้าวต่อสักที อ่อครับ ขอโทษทีครับผมคิดหลายเรื่องมากไปหน่อย กับข้าวมื้อนี้อร่อยจังเลยครับแม่ กินข้าวหมดแล้ว เฮ้ออิ่มจังเลย พ่อครับแม่ครับผมขอตัวก่อนนะครับแล้วเด็กชายก็รีบเดินเข้าห้องอย่างรวดเร็ว  คิณอย่าลืมแปรงฟันก่อนนอนด้วยนะลูก ครับแม่ ว่าแต่วันนี้ผมง่วงนอนแต่หัววันเลย เมื่อแปรงฟันเสร็จแล้วผมก็เข้านอนเลยที่เหลือก็ไว้ให้เป็นเรื่องของพรุ่งนี้ก็แล้วกันของงานใหม่กับรักแรกที่ไม่ทันตั้งตัวกับความฝันของเด็กชายผู้ไม่เรียนต่อ


วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2561

เขาแกะ

                                                                         
(Photo by https://i.pinimg.com/originals/f2/50/ec/f250ec663dd5868aaaf90211d4e6e16f.jpg)




ชื่อวิทยาศาสตร์
  Rhynchostylis coelestis 



วงศ์ Orchidaceae



ลักษณะ เขาแกะเป็นกล้วยไม้ที่เจริญเติบโตแบบแตกยอด   โคนของใบสลับกันไปมาใบมีความยาว 15 ซม. คล้ายคลึงกับเขาของแกะด้วยเหตุนี้ผู้พบเห็นจึงเรียกมันว่าเขาแกะดังที่ เราได้ยิน รากเขาแกะมีลักษณะเป็นรากอากาศแบบกล้วยไม้อิงอาศัยรากอากาศทั่วไป ดอกของเขาแกะมีลักษณะ ช่อตั้งออกด้านข้างต้นตามกาบใบที่สลับกันไปมา ช่อดอกเขาแกะเป็นแบบทรงกระบอกยาว ดอกบานสุดมีความกว้าง 2 เซนติเมตร เขาแกะที่พบในธรรมชาติจะมีสีดอกของที่แตกต่างกันออกไป  บางต้นดอกมีสีม่วงอมแดง บางต้นดอกมีสีฟ้าอมม่วง บางต้นมีดอก ออกไปทางสีน้ำเงิน บางต้นมีดอกสีขาวล้วนบริสุทธิ์ที่เราเรียกกันว่าเขาแกะเผือกซึ่งหาพบในธรรมชาติได้ยากมากๆ 



ฤดูออกดอก  เมษายน - กรกฎาคม 



แหล่งที่พบ  สามารถพบกล้วยไม้เขาแกะได้ในบริเวณป่าดิบแล้งในภาคเหนือ  ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตก ภาคตะวันออก ยกเว้นภาคใต้ของไทย และประเทศเพื่อนบ้าน คือ ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนามอีกด้วย


วิธีการขยายพันธุ์ ส่วนใหญ่จะขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เพาะเนื้อเยื่อ การแยะลำต้นที่แตกหน่อไป                                ปลูกแยกก็สามารถทำได้ 


หนทางเดิมเพิ่มเติมคือรอยเท้า

ทางเดินสามารถนำทุกเท้าก้าวไปยังจุดหมายปลายทาง ที่ทำให้เชื่อมั่นว่าจะได้พบกับสถานที่เป้าหมายอย่างแน่นอน    หากจะเปรียบกับหนทางชีวิตก็ไม่ผิด เพียงแต่หนทางจริงนั้นทำให้พบกับสถานที่จริง      แต่ว่าหนทางชีวิตเปรียบเป็นสิ่งที่ทำให้กำลังจะเผชิญกับสิ่งที่ต้องเจอ  ไม่อาจจะได้รู้เลยว่าสิ่งที่ต้องเจอกับหนทางชีวิตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร  และจะถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่  เมื่อผู้เขียนได้นำหนทางกับการอ่านหนังสือมาเปรียบเทียบก็อาจจะคล้ายๆกันกับเนื้อหาที่เต็มไปด้วยตัวอักษรอันประกอบไปด้วยความรู้  เมื่ออ่านก็เหมือนกับการมองข้างทางเมื่อผ่านไปแล้วก็ลืมมันไป แต่จุดหมายปลายทางคือบทสรุปของการอ่านตัวอักษรแห่งความรู้ที่เรากำลังเดินผ่านมันไปอย่างนั้นหรือ  ถ้าอย่างนั้นการอ่านหนังสือก็เหมือนกันการเดินทางโดยเสียเวลาเปล่าน่ะสิ  คำตอบคือเปล่าเลยการอ่านหนังสือไม่เคยเสียเวลาเปล่าเลยสักนิด  แต่คล้ายกับการเดินทางแต่เราได้มองไปยังข้างทางได้เห็นสิ่งต่างๆมากมาย  แม้ว่าปลายทางอาจจะยาวไกลก็ตาม แต่ทำให้เกิดความรู้สึกภูมิใจขึ้นมาแทน แม้การอ่านหนังสือครั้งนี้จะยังไม่ถึงปลายทาง  แต่อย่างน้อยเราก็ได้เดินไปบนหนทางที่ได้มองไปยังข้างทาง และได้เห็นสิ่งต่างๆมากมายเป็นความรู้ประดับสมองของเรา แม้อาจจะจำมันได้ไม่หมดก็ตาม แต่ก็ให้คุณค่าและประสบการณ์แก่เราเสมอ ให้เราคิดไว้เสมอว่าการอ่านหนังสือเปรียบเสมือนหนทางเดิมแต่เพิ่มเติมคือรอยเท้าของเรา ที่เดินย่ำมันอยู่ทุกวันและแน่นอนสักวันเราจะสามารถจำข้างทางคือความได้รู้และประสบการณ์ได้ทั้งหมดอย่างแน่นอน เพราะหนทางเดิมเพิ่มเติมคือรอยเท้า

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

บทที่ 4 งานใหม่กับชีวิตใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม


เมื่อผมนั่งรถเมล์กับแม่มาได้สักพัก แม่บอกผมว่าถึงห้างแล้วนะลูก แล้วลุกขึ้นกดกริ่ง แล้วรถเมล์ก็จอดตรงป้ายห้างเซ็นทรัล เมื่อประตูรถเมล์เปิดเสียงอึกทึกครึกโครมก็ดังขึ้นมาปะทะหูทั้งสองข้างของผมอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับผู้คนมากมายที่พร้อมจะขึ้นรถเมล์ได้ทุกเมื่อ แต่เสียงกระเป๋ารถเมล์ห้ามปรามเอาไว้ว่า ให้คนข้างบนรถลงก่อนนะคะ แล้วค่อยขึ้นมาค่ะ ผมกับแม่จึงลงมาได้อย่างสะดวกแต่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนมากมายเพื่อที่จะเข้าห้าง พรึ่บ เสียงเสียงผลักประตูก็เปิดออก โหววว แม่ครับข้างในห้างนี่มันช่างสวยงามเหมือนที่ผมคิดและจินตนาการเอาไว้เลย และแอร์ในห้างก็เย็นฉ่ำกว่าแอร์ในรถเมล์มาก ในห้างนี้ล้วนแต่สิ่งตื่นตาตื่นใจและแสงสีไฟที่สวยงามและเสียงคนร้องเพลงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งห้าง   วู้วว ว้าว กรี๊ด กรี๊ด กรี๊ด อุ๊ยย แสบแก้วหูจังเด็กชายตกใจและเผลอร้องอุทานขึ้นมา โอ้โหคนมาดูอย่างมากมายแน่นถนัดแทบไม่มีที่ว่างให้เดินเลย  สายตาทุกคู่ของผู้คนต่างจ้องมองไปบนเวที แม่ครับทำไมนักร้องคนนี้หล่อจังขาวมากเหมือนที่เห็นในโทรทัศน์เลยครับ เขาไม่ใช่นักร้องหรอกจ่ะลูกเขาเป็นดาราจ่ะแม่กล่าว  นอกจากเขาจะมีหน้าตาที่หล่อแล้วยังร้องเพลงเพราะอีกด้วยนะครับ จึงไม่แปลกใจที่ใครๆก็ชอบเขา เด็กชายกล่าว แต่ยังดูได้ไม่นานนัก หมับ คุณแม่จับมือของเด็กชายแล้วรีบเดินออกมาเพราะต้องไปซื้อของต่อที่ชั้นG  ขณะที่แม่จูงมือเดินนำหน้า สายตาที่สงสัยของเด็กชายก็มองไปทั่ว ท่ามกลางผู้คนมากมายเดินไปเดินมา ถึงแล้วจ่ะบันไดเลื่อนที่จะลงไปยังชั้น G คึกคัก คึกคัก วืดดดด ว้าววว นี่หรอที่เขาเรียกว่าบันไดเลื่อน ตื่นเต้นจังเพิ่งเคยเห็นบันไดเลื่อนเป็นครั้งแรก เสียงเด็กน้อยดัง จนคนรอบข้างๆมองมาด้วยสายตาแปลกๆ จนต้องเก็บอาการและยืนใกล้ๆแม่  ชั้น G ที่นี่มีท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ตแม่กล่าว   ว้าว ว้าว เสียงอุทานดังขึ้นอีกครั้ง ด้วยความตื่นเต้นของเด็กชายที่ไม่เคยเห็นผักและผลไม้มากมายขนาดนี้มาก่อนแต่ละอย่างก็น่ากินน่าทานทั้งนั้นเลย เข้าไปข้างในกันเถอะคิณแม่จะพาไปเลือกผักผลไม้กับอาหารในรายการ ครับผมแม่ ผมเดินตามหลังแม่เข้าไปจับและดมกลิ่นและบีบๆ และแล้วเสียงดุของผู้เป็นแม่ก็ดังขึ้น อย่าดมนะจ๊ะลูก อย่าบีบ เพราะเดี๋ยวเขาจะว่าเอานะ ครับแม่เด็กชายขานรับ และเดินตามหลังแม่พร้อมกับถือตะกร้าหนึ่งใบ พอนึกแล้วจู่ๆก็อดขำออกมาไม่ได้นี่เราเองก็โตมากแล้วนะแต่ยังทำตัวเหมือนเด็กอยู่ได้  แต่ผมก็ยังเด็กนี่นาผมพลางบ่นพรึมพรำกับตัวเองและคิดไปเรื่อยเปื่อย สายตาของผมมองตามเมื่อคุณแม่ที่เดินไปในโซนของสดแล้วสองมือคู่นั้นบรรจงเลือกผักอย่างช่ำชอง ที่นี่มีทั้งผักคะน้า ผักกาด มะเขือเทศ และฟักทอง และข้างๆก็มีน่องไก่ กับเนื้อสัตว์อีก มีทั้งแบบสดและแบบแช่แข็ง รวมทั้งของจิปาถะอีกมากมายนับไม่ถ้วน คิณจ๊ะแม่พูดพร้อมหยิบผักที่เลือกไว้หลายอย่างใส่ในตะกร้าที่ผมถืออยู่ ว้า ของในตะกร้าเริ่มเยอะแล้วสิทำไงดีนะ  และสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นรถเข็นคันหนึ่งว่างจอดอยู่ไม่ไกล คนทั่วไปที่นี่ส่วนใหญ่ใช้รถเข็นกันระหว่างซื้อของกันทั้งนั้น ผมไปเอารถเข็นก่อนนะครับแม่ ด้วยความหนักเมื่อมาถึงรถเข็นเด็กชายจึงนำของในตระกร้าหยิบใส่ทันที  เฮ้อ มีรถเข็นนี่สบายจริงๆ  กึก กึก รถเข็นมาแล้วครับแม่ จ่ะแม่ตอบพร้อมกับเอาผักที่เลือกหลายอันใส่เพิ่มในรถเข็น คิณเดี๋ยวเราไปซื้อแหนมให้แม่กันเดี๋ยวจะลืม ครับแม่เด็กชายตอบรับพร้อมกับเข็นรถเดินตามไป เก่งจังเลยนะครับ จำของที่จะซื้อได้เกือบทั้งหมด เสียงเอ่ยชมของเด็กชายทำให้ผู้เป็นแม่ผมก็ยิ้มออกมา เฮ้อแม่ซื้อของทั้งหมดครบแล้วจ่ะ ลูกคิณอยากกินอะไรไหมจ๊ะ เดี๋ยวแม่พาไปกิน  ครับแม่แต่ผมขอคิดก่อนนะว่าอยากกินอะไร  คิดเงินเชิญเครื่องนี้ได้ค่ะ  เสียงของพนักงานสาวประจำเครื่องคิดเงินกล่าวทักทายพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เด็กชายไม่รอช้ารีบเข็นรถเข้าไปแล้วหยิบของในรถเข็นออกมาอย่างรวดเร็ว มีบัตรสมาชิกไหมค่ะ ไม่มีค่ะผู้เป็นแม่ตอบ ตี๊ด ตี๊ด เสียงยิงบาร์โค๊ดดังขึ้นหลายรอบ รวมทั้งหมด 437 บาทค่ะ เสียงพนักงานกล่าว  แม่ดูรายการหน้าจอพร้อมกับหยิบเงินออกมา รับมา 500 บาท รับเงินสดมา 500 บาทถ้วนนะคะ  ตึกแป๊ก เสียงลิ้นชักใส่เงินก็เด้งออกมา ใบเสร็จพร้อมเงินทอน 63 บาทค่ะ ขอบคุณที่ใช้บริการนะคะ โอกาศหน้าเชิญใหม่ค่ะ เดี๋ยวผมถือถุงเองครับแม่จะได้ไม่หนัก ขอบคุณจ่ะคิณแม่กล่าวพร้อมกับยิ้มออกมาอีกครั้ง  ระหว่างที่เดินออกมาเรื่อยๆผมก็คิดออกแล้วว่าจะกินอะไรดี แล้วเด็กชายพูดว่าอยากกินไก่ทอดเคเอฟซีครับแม่ ผมเห็นในโทรทัศน์มาตั้งแต่เด็กแล้วแต่ไม่เคยมีโอกาสได้กินเลยสักครั้งในชีวิต ผมดีใจมากเพราะรู้ว่านี่คือครั้งแรกในชีวิตของผมที่ได้กินทอดไก่เคเอฟซี จ่ะเราไปกันเถอะลูก เอ่อ ขอโทษนะคะร้านเคเอฟซีอยู่ชั้นไหนคะแม่ถาม คุณป้าใส่แว่นแต่งตัวดูดีมีฐานะ ถ้าดิฉันจำไม่ผิดน่าจะอยู่ชั้นG นะคะ  ขอบคุณมากนะคะ ป้าใส่แว่นตอบและยิ้มให้ว่า ไม่เป็นไรค่ะ อยู่ชั้นเดียวกันเลยนะลูก คุณแม่เอ่ยขึ้น เมื่อเดินมาเรื่อยๆผมกับแม่ก็เห็นร้านสีแดงๆ และตัวอักษรภาษาอังกฤษที่มีแสงไฟชัดจ้าว่า เคเอฟซี เย่ร้านเคเอฟซีแล้ว เด็กชายทำท่าดีใจแล้วมองเข้าไปในร้านที่เห็นผู้คนยืนต่อแถวซื้อไก่ทอดเป็นจำนวนมาก นั่นทำให้เด็กชายท้อเป็นอย่างมาก ไก่เคเอฟซีมันต้องอร่อยมากเหมือนโฆษณาในโทรทัศน์แน่ๆเลย กลิ่นไก่ทอดอันหอมหวนก็ลอยมาแตะจมูกของผมทำให้รู้สึกหิวขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งที่ก่อนมาห้างผมก็กินข้าวกับพ่อแม่ไปแล้วรอบหนึ่ง แล้วผมกับแม่ก็ต่อแถวแต่สายมองไปที่ป้ายมีอาหารเกี่ยวกับไก่ทอดเคเอฟซีมากมาย บนป้ายนั้นยังมีเมนูข้าวอยู่ด้วย ว้าวว่าน่ากินทั้งนั้นเลย....  คนแล้วคนเล่าและแล้วก็มาถึงคิวของผมกับแม่ สวัสดีครับเชิญสั่งอาหารได้เลยนะครับ เสียงของพนักงานชายหนุ่มกับใบหน้าหล่อเหลา คิ้วดกหนา กับปากอมชมพูยิ้มแย้มกล่าวทักทาย พร้อมกับสายตาเปล่าประกายมองมาที่ผมอย่างไม่ลดละ แต่ผมสั่งไม่เป็นจึงชี้ไปตามภาพในเมนู  เป็นชุดโดนใจ 3 นะครับ พนักงานชายหนุ่มกล่าวพร้อมทวนรายการอาหาร ให้ผมฟัง ในรายการมี ไก่ทอด 3 ชิ้น เฟรนไฟน์เล็ก 1 แป๊ปซี่แก้ว 1 ครับ ผมอยากกินมันบดด้วยครับแม่ ได้จ่ะคิณ มันบดใหญ่ 43 บาทครับ ทานที่นี่หรือรับกลับดีครับ พนักงานหนุ่มกล่าว ทานที่นี่ครับพี่ แล้วพนักงานหนุ่มหล่อก็จัดอาหารใส่ถาดสีแดงอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว ในชุดมี ไก่ทอด 3 ชิ้นมันบดถ้วยใหญ่ 1 ถ้วย แฟรนไฟน์ขนาดเล็กและแป๊ปซี่ 1 แก้ว พนักงานหนุ่มทวนรายการอาหารอีกครั้งและบอกราคา รวมทั้งหมด165 บาทครับ ชายหนุ่มเอ่ย คุณแม่ของผมก็ล้วงกระเป๋าหยิบแบงค์ 500 ใบสุดท้ายออกมา ผมจึงรับเงินจากแม่ยื่นให้พนักงานหนุ่มคนนั้น  รับเงินมา 500 บาทนะครับ เงินทอน 335 บาทครับ เมื่อรับเงินทอนและอาหารเสร็จแล้วผมกับแม่จึงเดินหาที่นั่ง  ที่นั่งหายากครับเพราะมองไปที่ไหนก็เห็นคนนั่งกันเต็มหมด  มีที่ว่างพอดีเลยซึ่งเป็นคนที่เพิ่งลุกออกไปเมื่อสักครู่และพนักงานก็รีบเร่งเก็บถาดและจานให้อย่างรวดเร็วว่องไว เพราะต้องรีบทำความสะอาดให้ลูกค้าคนต่อไปนั่งทานอาหารได้ และผมกับแม่ก็มาถึงโต๊ะที่พนักงานเพิ่งทำความสะอาดเสร็จ คุณลูกค้าเชิญนั่งได้ค่ะ เมื่อวางถาดเสร็จแม่นั่งรอเดี๋ยวผมไปเอาซอส ช้อน มีด ซ้อม ก่อนนะครับ  เด็กชายกล่าว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยผมกับแม่จึงนั่งทานไก่เคเอฟซีอย่างอร่อย      มีความสุขจัง และคิดว่านี่สิ่งที่ผมปราถนามาตลอดเรื่อยมาแล้ววันนี้มันก็เป็นจริงแล้ว ระหว่างที่ผมนั่งทานไก่แล้วพลางครุ่นคิดไปเรื่อยจนอาหารบนโต๊ะหมดลง คิณจ่ะอิ่มยังลูกเสียงแม่พูดขึ้น อิ่มแล้วครับไก่ทอดเคเอฟซีอร่อยมากๆเลย แต่ลุกขึ้นจากโต๊ะกำลังจะเดินออกจากร้านเคเอฟซี สายตาผมก็มองไปเห็นป้ายรับสมัครพนักงานเคเอฟซีพร้อมด้วยสวัสดิการมากมายสำหรับพนักงาน น่าสนใจจัง แม่ครับเราไปถามพนักงานดีกว่าว่ายังรับสมัครพนักงานใหม่อยู่หรือเปล่าครับ แม่ผมก็ยิ้มและเห็นด้วย พนักงานหนุ่มหล่อจ้องมาที่ผมอีกครั้ง จะสมัครงานทำงานกับเคเอฟซีต้องทำยังไงครับผมถามพนักงานหนุ่ม หนุ่มหล่อยิ้มหวานให้เด็กชาย รอสักครู่นะครับเดี๋ยวผมเรียกผู้จัดการให้ พนักงานหนุ่มหล่อก็หายไปสักครู่  แอ๊ด ประตูก็เปิดออกเป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านผู้หญิงตัวเล็กๆเดินออกมากล่าวทักทายผมกับแม่ สวัสดีค่ะ พร้อมกับบอกถึงรายละเอียดให้ผมฟัง แต่ลูกของดิฉันยังอายุไม่ถึง 18 ปีสมัครได้ไหมคะ แม่กล่าว      น้องสมัครได้ค่ะ ทางเรารับตั้งแต่อายุ 15 ปีขึ้นไป แต่ว่าถ้าน้องยังอายุไม่ถึง 18 ปีต้องสมัครเป็นพนักงานพาร์ททามไปก่อนนะคะ ต้องรอจนอายุครบ 18 ปีถึงจะสมัครเป็นพนักงานประจำร้านได้ค่ะ สนใจเขียนใบสมัครวันนี้เลยไหมคะ แต่ถ้ายังไม่สะดวกวันนี้ไม่เป็นไรค่ะ น้องเอาเอกสารพร้อมกับใบสมัครมาให้พรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ ผู้ช่วยผู้จัดการกล่าว ผมยิ้มแก้มปริที่จะได้มีรายได้ช่วยครอบครัวอีกทาง ขอบคุณครับผมกล่าว แล้วเดินออกไป สายตาผมเหลือบไปเห็นพนักงานหนุ่มหล่อที่ยิ้มหวานให้ผมอีกครั้งก่อนออกจากร้าน  โอ๊ะตายจริงตอนนี้ 3 ทุ่มกว่าแล้วนี่นาลืมดูเวลาเลย แม่ของผมพูดพลางดูนาฬิกาที่ข้อมือ พ่อต้องรออยู่แน่ๆเลยลูก กลับกันเถอะครับแม่ดึกมากแล้วจริงๆ เด็กชายกล่าววันนี้ช่างดีจังเลยผมบอกกับตัวเอง พร้อมกับเดินมาถึงป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม ผมกับแม่ขึ้นรถเมล์สายเดิม แล้วเดินกลับมาถึงบ้าน แม่เปิดประตูแล้วเห็นพ่อก็นั่งดูโทรทัศน์รออยู่จริงๆ แม่กับคิณกลับดึกจัง พาลูกไปกินไก่ทอดเคเอฟซี น่ะค่ะ อ่อ แหนมที่พ่อให้ซื้อได้แล้วค่ะ ดีจังเลยนะพ่อเอ่ยชมแม่ ส่วนผมก็นั่งดูโทรทัศน์ข้างๆพ่อที่เอามือลูบหัวอย่างเอ็นดู คิณดึกแล้วนะลูกรีบเข้านอนเถอะจ่ะ ห้องนอนลูกอยู่ชั้นบนนะแม่เตรียมปูผ้าบนเตียงไว้ให้แล้ว แม่ครับตอนนี้ผมยังไม่ง่วงเลยอยากดูหนังต่อ ไม่ได้จ่ะคิณต้องรีบเข้านอนได้แล้วนะลูก ก็ได้ครับผมตอบเสียงเนือยแล้วเดินขึ้นบันไดเข้าห้องนอน ตึ๊บ ตึ๊บ เด็กชายกระโดดขึ้นเตียง แล้วนอนครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาพร้อมกับในร้านเคเอฟซีวันนี้ด้วย แล้วก็ผล็อยหลับไป  ก๊อก ก๊อก คิณๆ ตื่นยังลูก เสียงของคุณแม่เคาะประตูเรียกผมแต่เช้าตรู่ ผมทำท่างัวเงียขยี้ตา บิดขี้เกียจ ตื่นแล้วครับแม่ แต่ทำไมตอนเช้าเรายังคิดเรื่องนี้อยู่เลยนะ แต่ว่าแปลกจังเช้านี้ทำไมรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกมีความสุขมากขึ้น เพราะตั้งแต่ผมจำความได้ผมไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย แล้วผมจะจำเรื่องราวดีดีในวันนี้ตลอดไปครับ  เด็กชายนั่งยิ้มอยู่บนเตียงแต่หารู้ไม่ว่างานใหม่ที่กำลังไปสมัครกำลังจะทำให้ชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

บทที่ 3 เด็กชายกับความหวัง


กรุงเทพเมืองใหญ่ที่ใครหลายคนใฝ่ฝันว่าจะได้มาอยู่และทำงานที่นี่  รวมทั้งผมเองด้วย แต่ตอนนี้การมาที่นี่ทำให้ความหวังของผมเป็นจริงแล้วส่วนหนึ่ง   จะทำยังไงต่อไปดีนะผมครุ่นคิดเรื่องนี้อีกครั้งระหว่างอาบน้ำ ได้แต่บอกกับตัวเองว่า เอาน่าเมื่ออาบน้ำเสร็จเดี๋ยวค่อยนั่งปรึกษาพ่อกับแม่เองแล้วกันว่าท่านจะว่าอย่างไรกับการตัดสินใจของผมและการเริ่มต้นใหม่ที่จะทำตามสิ่งที่หัวใจของผมต้องการ อาบน้ำเสร็จแล้วผมก็รีบแต่งตัวทันที  คิณอาบน้ำเสร็จหรือยังลูกเสียงเรียกของแม่ก็ดังขึ้น เสร็จแล้วครับแม่  ผมกำลังลงไป ผมแต่งชุดที่เบาสบายๆเพราะอากาศที่ร้อน แล้วในบ้านก็ไม่มีแอร์ซะด้วย เด็กชายยืนจ้องมองท้องฟ้ายามพลบค่ำที่ความมืดของวันมาเยือนอีกครา มีเพียงในบ้านเท่านั้นที่สว่างไสวด้วยแสงไฟ ในห้องนั่งเล่น มีเพียงพ่อกับแม่ นั่งปรึกษากันเรื่องผมว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อไปเพราะผมไม่ได้เรียนต่อแล้ว ตึ๊ก ตึ๊ก เสียงก้าวเดินลงบันไดดังขึ้น มาแล้วครับ เด็กชายเอ่ยขึ้น แล้วคิณคิดว่าจะเรียนต่อไหมล่ะลูก พ่อผมเอ่ยถาม ผมคิดว่าผมไม่เรียนแล้วครับพ่อ มันสร้างภาระและปัญหาหนักให้กับผมอย่างมากมายตั้งแต่เด็กจนโต ผมจำได้ว่าตั้งแต่ผมเรียนมา   มันไม่เคยมีคำว่าอิสระแห่งการทำตามฝันให้ตัวผมเองเลยสักครั้ง และสิ่งที่อาจารย์สอนในวิชาต่างๆนั้น ก็ไม่สามารถนำเอามันมาใช้ในชีวิตจริงๆได้เลย ผมจึงไม่เห็นความสำคัญของการเรียนในระบบอีกต่อไปแล้วครับพ่อ งั้นคิณจะทำงานเลยเหรอลูก  คิณยังอายุไม่ถึง 18ปี เลยนะ ที่ทำงานส่วนใหญ่จะรับแต่เด็กที่อายุ 18 ปีขึ้นไป แม่พูดขึ้นกับใบหน้าที่กังวล   ผมตัดสินใจแล้วครับแม่ว่าจะพยายามหางานทำ งานที่ยังรับเด็กอายุไม่ถึง 18 ปี เช่น งานพาร์ททามต่างๆ พ่อกับแม่ก็ยิ้มให้และเข้าใจกับความฝันในทางก้าวเดินต่อไปของผม  เอาล่ะถ้าลูกสบายใจพ่อกับแม่ก็ดีใจด้วยจ่ะ อืม เสียงแม่เอ่ยขึ้นพลางมองไปที่นาฬิกา เอ๊ะนี่ ...!!!           หกโมงเย็นแล้วไวจังเลย จะไปไหนครับ เด็กชายเอ่ยขึ้นทำหน้าสงสัย  แม่จะไปซื้อของที่ในห้างน่ะ งั้นผมขอไปด้วยนะ จะไปช่วยแม่ถือของ ได้สิจ๊ะแม่อนุญาต เมื่อผมรู้ว่าจะได้ไปเดินห้างผมดีใจมากๆ เพราะเคยเห็นห้างใหญ่แค่ในโทรทัศน์แต่ไม่เคยเห็นห้างจริงๆสักครั้ง ผมตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นี่จะเป็นครั้งแรกสินะที่จะได้ไปเดินเที่ยวห้าง ผมดีใจกระโดดโลดเต้นออกมาและยิ้มอย่างมีความสุข อย่าลืมซื้อแหนมแท่งมาด้วยนะแม่ เสียงพ่อดังขึ้นย้ำเตือน      พ่อผมชอบกินแหนมมากครับ และผมกับแม่ก็เดินออกจากซอยมาถึงป้ายรถเมล์ที่เดิม แม่ครับห้างที่เราจะไปชื่อว่าอะไรครับ เด็กชายถาม ชื่อว่าเซ็นทรัลลาดพร้าวจ่ะ ชั้นที่เราจะไปเป็นชั้นล่างสุดเป็นโซนอาหาร อาหารถูกและมีหลากหลายราคา แม่เอ่ยขึ้น ห้างเซ็นทรัลนี้มันต้องใหญ่มากแน่ๆ ผมพูดตามประสาเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่พอจะนึกได้ แม่ลูกคุยกันตามประสา ระหว่างยืนรอรถเมล์  บรื้นนนน เสียงดังมาแต่ไกล คิณรถเมล์มาแล้วลูกแม่พูดพร้อมโบกมือเป็นสัญญาณ เอี๊ยดดด เสียงเบรคดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออกอย่างไว ทำให้เด็กชายกับแม่รีบก้าวเท้าขึ้นรถเมล์อย่างรวดเร็ว สวัสดีค่ะเชิญค่ะ เสียงกระเป๋ารถเมล์กล่าวทักทาย ลงป้ายไหนคะ ลงเซ็นทรัลลาดพร้าวสองคนค่ะ แม่พูดพร้อมยื่นเงินให้กระเป๋ารถเมล์ ขอบคุณค่ะกระเป๋ารถเมล์เอ่ย   เอ... แม่ครับผมจำได้ว่าเป็นสายเดียวกับที่ผมขึ้นเมื่อบ่ายนี้ตอนที่มาถึงกรุงเทพนี่ครับ รถเมล์สายนี้ผ่านห้างเซ็นทรัลด้วยเหรอ สงสัยที่ผมนั่งผ่านจะไม่ได้สังเกต แม่ตอบว่าใช่จ่ะ ดีจังคุณแม่ผมเอ่ยขึ้น แปลกจังวันนี้มีที่นั่งเยอะ ปกติแล้วที่นั่งจะเต็มตลอดคนที่ขึ้นรถเมล์สายนี้ส่วนใหญ่จะไปลงที่ห้างนี้  ผมบอกกับแม่ว่าดีจังครับอยากให้ถึงห้างเซ็นทรัลเร็วๆจัง ความตื่นเต้นอยากเดินห้างของเด็กชายกับความหวังในกรุงเทพได้เริ่มต้นขึ้นและหารู้ไม่ว่าที่นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 


บทที่ 2 เมื่อได้พบพ่อกับแม่


เมื่อมาถึงป้ายที่กระเป๋ารถเมล์บอก ก็กดกริ่งให้กับผม ผมมายืนรอที่ประตู  เอี๊ยดเสียงเบรครถเมล์จอดที่ป้าย ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก พรึ่บ ทำให้ผมเห็นในหน้ามีรอยยิ้มของใครคนหนึ่งที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต นั่นก็คือแม่ได้ยืนรอผมอยู่ แล้วน้ำตาไหลออกมารีบวิ่งเข้าไปกอดแม่อย่างไม่อาย เพราะคิดถึงแม่มากและความหวังของผมก็เป็นจริงแล้วคือการได้พบพ่อกับแม่แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว หลังจากแม่กับพ่อ ให้ผมอยู่ต่างจังหวัดมาอย่างยาวนานก็ไม่ได้พบท่านอีกเลย เพราะระยะทางที่ห่างไกลกันมาก จำได้ว่าตอนเป็นเด็กอายุ7 ขวบ นั้นผมนั่งมองที่ริมถนนทุกวันเลยและเฝ้าคอยอย่างมีความหวังว่าแม่ของผมจะกลับมาหา ปีแล้วปีเล่าผมเริ่มชินกับความคิดถึงพ่อกับแม่เหลือเกิน การมองทางแบบไร้จุดหมายแบบนี้ใช้ไม่ได้ผลอีกแล้วและต้องทำใจกับเรื่องนี้เรื่อยมา ผมเหงามาก เหงาเหลือเกินกับการอยู่คนเดียวในบ้านท้ายไร่หลังเล็กๆ เหงาเล่นคนเดียวจนชินและชินกับการนั่งทำการบ้านคนเดียว ชีวิตผมในตอนนั้นยังเด็กมากแต่ก็อดคิดมากไม่ได้เลยสักครั้ง และชอบติดนิสัยนั่งเหม่อลอยเป็นเวลานานจนถึงอายุ 16 ปีแล้ว     ก็ยังไม่หายกับความคิดที่เลื่อยลอยอันไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกับเรือลำเล็กๆลอยอยู่บนแม่น้ำอันกว้างใหญ่อย่างไร้จุดหมายปลายทางของมัน และนั่นทำให้ผมเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงและคิดมากเกือบตลอดเวลา ด้วยความที่ไม่เคยมีเพื่อนจริงๆเลยสักครั้งทำให้ชินกับการอยู่คนเดียวเป็นประจำ และคิดว่าสักวันหนึ่งผมจะหลุดจากสิ่งเหล่านี้ได้เมื่อเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึงชีวิตของผมเข้าสักวัน และแล้ววันเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผมก็มาถึงอยากที่หวังไว้จริงๆคือการได้กลับมาอยู่กับครอบครัวที่ผมรักอย่างพร้อมหน้ากันอีกครั้ง และผมรู้สึกว่าสิ่งที่ขาดหายไปตั้งแต่เด็กนั้นได้รับการเติมเต็มอีกครั้งคือพ่อกับแม่ผม แม้ว่าฐานะทางครอบครัวไม่ได้ร่ำรวยเหมือนครอบครัวคนอื่นๆเขา แต่กลับรู้สึกว่ามันมีความสุขเหลือเกินกับการใช้ชีวิต ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของผมตอนนี้ฐานะจะเป็นอย่างไรก็ตาม มีแค่นี้ก็พอแล้ว เมื่อผมเดินกลับบ้านไปพร้อมกับแม่ผมก็ครุ่นคิดถึงอดีตที่อาจจะไม่ได้คิดถึงมันอีกแล้ว เพราะปัจจุบันกับอนาคตจะมาแทนที่มัน และเมื่อผมกับแม่มาถึงบ้านก็ได้เจอพ่อที่นั่งรออยู่ ผมดีใจมากเช่นกันจึงวิ่งเข้าไปกอดพ่อด้วยความคิดถึง เป็นยังไงบ้างลูกสบายดีไหม พ่อคิดถึงคิณมากๆนะลูก ย้ายมาอยู่กับพ่อแม่ก็ดีแล้วหล่ะนะ พ่อกล่าวขึ้นมา และวันนี้ทำให้ผมมีความสุขมากเหลือเกินและขอบใจกับการจัดสินใจอย่างเด็ดขาดของตัวเอง และแล้วคุณแม่ก็พูดว่า เดี๋ยวแม่เข้าครัวไปทำอาหารก่อนนะลูกมาเหนื่อยๆต้องหิวมากแน่ๆเลย ผมได้ยินเสียงแม่ทำอาหาร เสียงหั่นผัก เสียงผัด ทอด  กลิ่นหอมๆของอาหารก็ได้ลอยผ่านจมูกผม แล้วทำให้ความหิวเกิดขึ้นมา แม่ได้ทำอาหารให้กินหลายอย่างมากจำได้ว่า 5 อย่าง และเราจึงล้อมวงทานอาหารอย่างอร่อย ผมแทบจะจำรสชาติในการทำอาหารของแม่ไม่ได้แล้ว เพราะผมกินอาหารที่แม่ทำมานานมากแล้ว ชีวิตในวัยเด็กตั้งแต่พอเข้าอนุบาลก็ไม่ได้กินอาหารฝีมือแม่อีกเลย เพราะว่าเราต้องอยู่ห่างไกลกันมาก  ผมกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย แม่ยังทำกับข้าวอร่อยเหมือนเดิมเลยนะครับ แม้ว่าผมจะลืมรสชาติของมันไปแล้วก็ตาม นานแล้วนะครับที่ผมไม่ได้ทานอาหารฝีมือแม่เลย  มันนานมากผมเอ่ยขึ้น คำคำนี้ถึงกับทำให้แม่ผมหยุดกินไปสักพักและก็ร้องไห้ออกมา เพราะแม่ทำงานในกรุงเทพจนไม่มีเวลากลับไปเยี่ยมลูกเลย แม่เสียใจจริงๆ แม่เอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่น อย่าเสียใจไปเลยแม่ ตอนนี้อยู่กับพ่อแม่แล้วนะครับ ผมพูดปลอบใจแม่ ผมกลับมาอยู่กับแม่แล้วนะ ผมจะได้ทานอาหารที่แม่ทำให้กินทุกวันเลย ชดเชยกับที่ตอนเด็กผมไม่ได้กินอาหารฝีมือแม่มานานก็แล้วกันนะครับ แม่ผมก็หยุดร้องไห้และมาลูบหัวผมและยิ้มอ่อนๆให้ พ่อผมก็ยิ้มเหมือนกัน เมื่อผมทานข้าวเสร็จแล้วกำลังจะเก็บจานชามไปล้าง  เดี๋ยวแม่ทำเอง ลูกไปอาบน้ำก่อนเถอะนะ เดินทางมาเหนื่อยๆและอากาศก็ร้อน แล้วเรามานั่งคุยกันว่าจะทำยังไงต่อ แม่เอ่ยขึ้น ผมเก็บสัมภาระของตัวเองขึ้นข้างบนแล้วเตรียมตัวลงมาอาบน้ำ






บทที่ 1 ก้าวเดินต่อไปของเด็กชายคนหนึ่ง



ย้อนกลับไปเมื่อปี ค..2009 เด็กชายธรรมดาคนหนึ่งชื่อ ภาคิณ ได้เรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3จาก รร.เล็กๆแห่งหนึ่งในชนบทของจังหวัดนครสวรรค์ และ รร.แห่งนี้มีแค่ระดับมัธยมศึกษาปีที่3 เท่านั้น    ไม่มีระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเหมือน  รร.ใหญ่ในตัวอำเภอและอยู่ห่างไกลออกไปจาก รร.เดิมของผมอย่างมาก ทำให้ผมต้องทำใจและครุ่นคิดอยู่นานว่าแต่ละ รร.ที่ผมจะไปเพื่อศึกษาต่อ ม.ปลายต่อให้จบหลักสูตรในระบบนั้นช่างห่างไกลเหลือเกิน  รร.ดังกล่าวนั้น ห่างจากที่ผมอยู่ 35 กิโลเมตร ไปกลับก็ 70 กิโลเมตรแล้ว และต้องเดินทางไปไกลๆทุกวันจึงลำบากมากสำหรับคนไม่มีรถอย่างผม และแล้วผมจึงตัดสินใจไปปรึกษาเรื่องนี้กับครูใหญ่ใน รร.ที่ผมจบ และ ครูใหญ่จึงตัดสินใจขับรถส่วนตัว พาผมไปสมัครเรียนต่อ ม.ปลายที่โรงเรียนในตัวอำเภออันห่างไกลดังกล่าว และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจกับความคิดตัวเองมากของผมที่จะกำหนดอนาคตด้วยตัวเองเสียที โดยไม่ต้องมีใครมาขีดเส้นกำหนดชีวิตให้กับผม และนั่นคืออิสระอย่างแท้จริงแต่ก่อนจะได้อิสระนั้นมาผมได้สมัครเรียนไปเป็นที่เรียบร้อยกับ รร.ใหม่นี้ ได้พบกับเพื่อนใหม่มากขึ้นกว่า รร.เดิม มากและรู้สึกว่าตัวเองแปลกที่แปลกทาง และแต่ละวันผมต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม 2 เท่า เพราะค่าอาหารกลางวัน และค่าอื่นจิปาถะที่ทาง รร. เรียกเก็บ และผมไม่มีเงินจะให้และไม่มีเงินทานข้าวกลางวัน เพราะผมไม่สะดวกห่อข้าวมาทานที่ รร.ใหม่แห่งนี้นั่นทำให้ผมเกิดความเครียดและความทุกข์เป็นอย่างมากสำหรับเด็กอายุเพียง 16 ปี และรู้สึกสงสารพ่อแม่เป็นอย่างมาก ที่ท่านต้องส่งเงินมาให้ผมใช้แต่ละเดือน พ่อและแม่ของผมท่านทำงานในกรุงเทพเป็นอาชีพกรรมกรก่อสร้าง เพราะท่านทั้งสองเรียนจบไม่สูงและต้องทำงานตามฐานะทางการศึกษานั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมคิดมากขึ้นไปอีก เพราะเงินเพียงแค่ท่านได้รับจากงานก็ไม่เพียงพอกับค่าครองชีพแล้ว แต่ยังเอาเงินมาให้ผมใช้อีก ณ ตอนนั้นผมรู้สึกว่าผมมีปัญหาเป็นอย่างมาก และกังวลกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต นั่นคือผมเครียดจนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง เวลาสอบก็ไม่เข้าใจเพราะตอนนั้นผมไม่ได้คิดเรื่องเรียนแล้ว เพราะการเรียน .ปลายตอนนั้นทำให้ผมมีความทุกข์มากกว่าความสุขที่คิดว่าจะได้รับ และนั่งเหม่อลอยคิดถึงพ่อกับแม่ทุกวัน และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ผมนั่งร้องไห้ออกมาบ่อยครั้งว่าทำไมชีวิตของเรามันช่างรันทดจริงๆ จะไปหาพึ่งพาใครก็ไม่ได้เพราะผมถูกปล่อยให้อยู่ตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็กและต้องทำอาชีพรับจ้างตามท้องไร่ เพื่อนำเงินมายังชีพไปวันๆ และนั่นจะพออะไร เมื่อคิดมากเข้าทุกวัน พาลทำให้ไม่อยากไปเรียนอีกแล้ว นั่นทำให้ผมเริ่มเก็บตัวอยู่ในบ้านนั่งคิดใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆที่ผ่านมาว่าเราทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไปเพื่อใครกัน  เพื่อความฝันของตนเอง หรือจำเป็นต้องให้มีใครมาขีดเส้นกำหนดให้กับผม ความคิดอย่างมากมายในหัว  และนั่นทำให้ผมมีความกล้ามากยิ่งขึ้นว่าจะต้องทำตามความฝันของตนเองให้ได้ แม้ว่าตอนนั้นยังไม่รู้ความฝันของผมนั้นจริงๆแล้วคืออะไรกันแน่ แต่เมื่อผมตัดสินใจแล้ว ยังไงซะชีวิตมันต้องมีหนทางต่อไปจนได้ ผมจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่และจึงตัดสินใจลาออกจาก รร. ดังกล่าว และนั่นทำให้ใจของผมทะยานออกไปอย่างอิสระเสรีเปรียบเสมือนเหมือนนกที่ถูกขังไว้ในกรงมาเนิ่นนานจนเพิ่งจะมารู้ว่าอิสระในโลกภายนอกนั้นมันสวยงามยังไง และเมื่อผมลาออกมาแล้ว  สิ่งแรกที่ผมคิดถึงคือพ่อกับแม่ซึ่งท่านอยู่กรุงเทพฯ ต้องเดินทางไปให้ได้เลย แต่นั่นคือปัญหาว่าผมในตอนนี้คือไม่มีเงินสักบาทเลยผมจะเดินทางไปหาท่านทั้งสองได้อย่างไร และผมมานั่งคิดระหว่างเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าของตัวเอง และแล้วสายตาก็จ้องมองไปที่โทรศัพท์ดังยี่ห้อหนึ่งในสมัยนั้น แล้วโทรไปหา ลุงวินมอเตอร์ไซต์ให้พาผมเอาโทรศัพท์ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวของผมไปขายที่ร้านโทรศัพท์ในตัวอำเภอ ราคาโทรศัพท์ที่ผมซื้อมาด้วยเงินของตัวเองนั้นกับราคาที่ขายได้นั้นต่างกันลิบลับ มันช่างได้เงินน้อยมากเพราะตกรุ่นไปเสียแล้ว แต่ในใจผมก็คิดว่าเอาวะ ได้เงินแค่นี้ก็ดีกว่าไม่มีเงินไปหาพ่อและแม่เลย เมื่อผมคิดอย่างนี้แล้วก็ทำให้ยิ้มออกมาได้ และเพื่อจะไปหาท่านทั้งสองกลับไม่เสียดายโทรศัพท์เครื่องนั้นเลย ผมจึงให้ลุงขับรถไปส่งที่สถานีรถไฟ ในตัวเมืองและซื้อตั๋วรถไฟ และนั่งรอนี่คือจุดเริ่มต้นของ ก้าวเดินต่อไปของเด็กชายคนหนึ่ง เป็นสิ่งที่ตื่นเต้นมากๆ และดีใจมากที่สุดในชีวิตของผมเลยทีเดียว ไม่มีอะไรที่จะมีความสุขมากเท่านี้ในชีวิตตั้งแต่เด็กมา เพราะว่าถูกการเรียนทำให้ต้องอยู่ห่างไกลพ่อแม่มาเป็นเวลานาน และก็ไม่เข้าใจเหตุผลเหมือนกันว่าทำไม แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า อิสระที่จะเลือกสำคัญที่สุด ผมได้แต่ครุ่นคิดไปเรื่อยเปื่อยขณะนั่งรอรถไฟ และนานพอสมควรที่รถไฟขบวนนี้จะมา และทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ปรู๊น ปรู๊น ฉึกฉัก ฉึกฉัก เสียงดังกล่าวแล่นมาแต่ไกลด้วยความเร็ว และมีเสียงจากนายสถานีประกาศแจ้งเป็นระยะๆ    เมื่อรถไฟขบวนนี้มาแล้ว ผมไม่ลังเลเลยที่จะกระโดดขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนไม่เคยขึ้นรถไฟมาก่อนเลยในชีวิต ระหว่างทางที่รถไฟขบวนนี้วิ่งไป นั่งชมวิวทิวทัศน์บวกกับสายลมเย็นๆและวิถีชีวิตผู้คนข้างทางอย่างสบายใจ และคิดอีกว่าทำไมชีวิตของพวกเขามันช่างเรียบง่ายจริงๆ ไม่ต้องดิ้นรนอะไรให้ลำบากใจมากมาย ได้สังเกตุดูผู้โดยสารทั่วไปด้วย และในจำนวนนั้นก็มีฝรั่งอยู่ด้วย  ผมเพิ่งจะเห็นฝรั่งจริงๆว่าเป็นยังไง เพราะจังหวัดที่อยู่ไม่มีฝรั่งหรือคนชนชาติอื่นๆ เลยนอกจากคนไทยด้วยกัน และนี่สินะคือการก้าวไปสู่โลกกว้างด้วยตัวเอง สัมผัสสิ่งต่างๆด้วยตัวเอง      ไม่ต้องมองดูเพียงแค่ในโทรทัศน์จอเหลี่ยมๆอย่างเดียว แต่ผมจะเห็นสิ่งต่างๆด้วยตาของตัวเอง และสัมผัสมันจริงๆว่าเป็นยังไง เมื่อครุ่นคิดไปมา ก็ผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัวเพราะเหนื่อยจากภาระก่อนหน้านี้มามาก ผมไม่เคยหลับแบบมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย และผมก็ไม่ค่อยมีความรู้สึกดีแบบนี้บ่อยนัก รถไฟวิ่งผ่านไปสถานีแล้วสถานีเล่า  แล้ว และผมก็ต้องตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงประกาศของสถานีอันเป็นจุดหมายปลายทาง รถไฟขบวนดังกล่าวที่จอดนิ่งอยู่กับที่ ถึงแล้วหรอผมพูดพลางขยี้ตา แล้วรีบเก็บกระเป๋าเป้เสื้อผ้าสะพายลงบันไดรถไฟมา แล้วผมจึงมองไปรอบๆตัว และพูดกับตัวเองว่านี่เองหรือที่เขาเรียกว่ากรุงเทพฯ มันช่างเจริญเสียจริงๆ และทันสมัยกว่าที่เห็นในทีวีมาก ตึกช่างสูงใหญ่จริงๆ และบ้านช่องคนก็มากมาย รถต่างๆก็มีวิ่งบนถนนมากมายชีวิตผู้คนช่างเร่งรีบกันเสียจริง      และเราจะมีวิถีชีวิตแบบพวกเขากันไหมนะ เพราะเด็กต่างจังหวัดอย่างผมต้องใช้เวลาปรับตัวในกรุงเทพเป็นอย่างมาก และบอกตัวอีกว่าอย่าเพิ่งคิดมากเลย ไปหาพ่อแม่เราก่อนดีกว่า แล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงกับชีวิตต่อก็แล้วกัน ผมจึงหยิบเศษเหรียญที่พอมีอยู่ในกระเป๋าของผมอยู่บ้างออกมาและมองหาตู้โทรศัพท์สารธารณะที่อยู่ใกล้ๆ แล้วผมก็มองไปเห็นตู้โทรศัพท์ดังกล่าว และก็รีบหยอดเหรียญแล้วกดเบอร์โทรหาแม่ทันที ตื้ด ตื้ด ทันใดนั้นเสียงแม่ พูดขึ้น ฮัลโหลๆ ใครคะ เท่านั้นแหละผมน้ำตาไหลออกมาเลย และบอกกับแม่ของผมว่า แม่ผมมาหาแม่ที่กรุงเทพแล้วนะ เมื่อแม่ผมเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูดผ่านโทรศัพท์  ถึงกับตกใจ คิณมาได้ยังไงเสียงตกใจปนดีใจของแม่ผมทำให้ผมอยากเจอพ่อกับแม่เร็วๆ เพราะตอนนี้คิดถึงท่านทั้งสองมาก และผมบอกแม่ว่า ตอนนี้ผมอยู่สถานีรถไฟ ต้องขึ้นรถเมล์สายอะไรไปหาแม่ครับ ผมจึงทำตามที่แม่บอกว่าต้องขึ้นรถเมล์สายนั้น ด้วยความที่ผมเคยขึ้นรถเมล์เป็นครั้งแรก จึงดีใจปนตื่นเต้นและคิดต่อมาว่า ต่อไปเวลาผมจะไปทำธุระที่ไหนในกรุงเทพ ไม่ต้องอาศัยคนอื่นหรือเดินไปเหมือนเมื่อก่อนเหมือนที่อยู่ต่างจังหวัดอีกต่อไปแล้ว เพราะรถเมล์จะทำหน้าที่พาผมไปทุกที่ที่อยากจะไป ผมจึงเดินออกมารอที่ป้ายรถเมล์ แล้วรถเมล์ที่ผมจะไปก็เป็นรถเมล์แอร์  บรื้น บรื้น เสียงดังของรถสีส้มวิ่งมาแต่ไกล ผู้คนที่รอรถเมล์ป้ายเดียวกับรีบยกมือกวักกันจ้าละหวั่น เอี๊ยดดดด เสียงเบรคดังขึ้น พรึ่บประตูเปิดออกอัตโนมัติ  ให้คนข้างบนลงก่อนนะคะ เสียงผู้หญิงบนรถพูดขึ้น แล้วผู้คนรอบข้างเบียดเสียดแย่งกันขึ้นรถเมล์จนผมเกือบขึ้นไม่ทัน เมื่อขึ้นรถเมล์มาได้แล้ว อากาศบนรถเย็นสดชื่นกับแอร์ที่พ่นมาถูกผิวของผมมันทำให้ผมรู้สึกหนาวมากๆครับ ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวภายนอก มันช่างแตกต่างกันอย่างลิบลับเลย แกร็กๆๆ เสียงเขย่าเหรียญก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนว่าผมต้องหยิบเหรียญค่าโดยสารออกมาจ่ายแล้ว  สักพักกระเป๋ารถเมล์ก็เดินมาหยุดตรงผมแล้วถามผมว่า ลงที่ป้ายไหนคะ ลงป้ายหน้าหมู่บ้านลัดดาครับผมกล่าว  เมื่อถึงป้ายช่วยบอกผมด้วยนะครับ เพราะเพิ่งเคยมา กลัวจะเลยป้ายที่แม่บอกผมไว้ กระเป๋ารถเมล์ก็บอกว่าได้ๆ ทำให้สบายใจไม่ต้องกลัวนั่งเลยป้าย    และถือโอกาสอาศัยช่วงเวลานี้ในการศึกษาเส้นทางและชื่อป้ายรถเมล์ไปด้วยจะได้ไม่ต้องอาศัยถามผู้คนบ่อยๆ กลัวคนจะรำคาญเอา เราต้องพยายามเรียนรู้และเพิ่งพาตนเองให้มากเข้าไว้  เมื่อดูบรรยากาศข้างทางผมก็ตื่นเต้นกับวิถีชีวิตผู้คนที่นี่ และครุ่นคิดถึงวิถีชีวิตที่จะได้มาเริ่มต้นใหม่ที่นี่หลังจากตัดสินใจหันหลังให้กับชีวิตต่างจังหวัด และการกล้าที่เคยขีดเส้นกำหนดชีวิตของตัวเอง เพราะผมจะมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่กับความฝันของชายผู้ไม่เรียนต่อได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

เอื้องกุหลาบกระเป๋าเปิด

                                                                  ( Photo by  http://board1.trekkingthai.com/board/show.php?forum_id=18&...